วันอังคารที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2553

จาก HIV สู่ ความดันกันนะค่ะ อย่างเราๆนี้คงเป็นดันทุรังมากกว่าง่าม๊ะ55

โรคความดันโลหิตสูง
โรคความดันโลหิตสูง


รู้จักเลือก...รู้จักเลี่ยง ไม่เสี่ยงเป็น"ความดันโลหิตสูง"(เดลินิวส์)
           ชีวิตของผู้คนในยุคสมัยนี้ ต้องเผชิญกับปัญหาหลากหลายที่ถาโถมเข้ามาในชีวิต สร้างความบั่นทอนร่างกายและจิตใจให้ถดถอยลง ส่งผลให้ ความดันโลหิต ในร่างกายสูงตามไปด้วย

           โรคความดันโลหิตสูง นับเป็นหนึ่งในปัญหาสาธารณสุขสำคัญที่กำลังคุกคามโลก โดยในปัจจุบันมีประชากรหลายร้อยล้านคนทั่วโลกเป็น โรคความดันโลหิตสูง และมีการคาดการณ์ว่าในปี พ.ศ. 2568 ผู้มีภาวะความดันโลหิตสูงจะเพิ่มขึ้นเป็น 1.5 พันล้านคน 
           สำหรับประเทศไทย จากข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุขคาดว่า จะมีผู้มีภาวะความดันโลหิตสูง หรือเป็น โรคความดันโลหิตสูง ประมาณ 10 ล้านคน ซึ่ง 70% ของคนกลุ่มนี้ไม่ทราบว่าตนเองมีภาวะดังกล่าว ทำให้ไม่ได้รับการรักษาหรือการปฏิบัติตนอย่างถูกต้องเหมาะสม อันจะนำไปสู่การเกิดโรคแทรกซ้อนมากมาย อาทิ อัมพฤกษ์ อัมพาต โรคหลอดเลือดสมองตีบ โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ ซึ่งอาจร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ด้วย

           นพ.ธวัชชัย ภาสุรกุล แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเบาหวาน ไทรอยด์และต่อมไร้ท่อ ให้ความรู้ว่า ความดันโลหิต หมายถึง แรงดันเลือดที่เกิดจากการ ที่หัวใจสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงทั่วร่างกาย ซึ่งหัวใจคนเราจะเต้น 60-80 ครั้ง ความดันก็จะเพิ่มขณะที่หัวใจบีบตัวและลดลงขณะที่หัวใจคลายตัว ความดันโลหิตของคนเราไม่เท่ากันตลอดเวลาขึ้นอยู่กับท่าของผู้ถูกวัดด้วย โดยท่านอนความดันโลหิตมักจะสูงกว่าท่ายืน นอกจากนั้นแล้ว ยังขึ้นกับสิ่งกระตุ้นต่างๆ เช่น การออกกำลังกาย การทานอาหาร การนอนหลับ กิจกรรมที่ทำอยู่ รวมทั้งสภาพจิตใจด้วย

           โดยปกติคนจะมีระดับความดันโลหิต 120/80-139/89 มิลลิเมตรปรอท หากมีค่าความดันมากกว่านี้จัดว่าเป็นผู้ที่มีภาวะความดันโลหิตสูง หรือเป็น โรคความดันโลหิตสูง ส่วนสาเหตุของ โรคความดันโลหิตสูง 90% ของผู้ที่มีภาวะดังกล่าวไม่ทราบสาเหตุที่ชัดเจน พบมากในกลุ่มคนอายุ 40 ปีขึ้นไป นอกจากนั้น เกิดจากอาการป่วยบางอย่าง เช่น อาการป่วยเกี่ยวกับสมอง ต่อมหมวกไต และต่อมไร้ท่อบางประเภท

           "ผู้มีภาวะความดันโลหิตสูงส่วนใหญ่มักจะไม่ปรากฏอาการใดๆ จึงไม่ได้เข้ารับการรักษาและไม่มีการควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ซึ่งในรายที่มีภาวะความดันโลหิตสูงมากๆ อาจนำไปสู่การเสียชีวิตแบบเฉียบพลันได้ ดังนั้นความดันโลหิตสูงจึงเปรียบเสมือนเพชฌฆาตเงียบที่คร่าชีวิตคนจำนวนมากไปแบบไม่รู้ตัว"

           โรคความดันโลหิตสูง เป็นปัจจัยเสี่ยงอันดับหนึ่งของโรคอัมพาตและยังเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคหัวใจ โรคไต โรคหลอดเลือดแดงแข็ง โดยผู้ที่ไม่ได้รักษา โรคความดันโลหิตสูง จะมีโอกาสเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบเพิ่มขึ้น 3 เท่า มีโอกาสเกิดโรคหัวใจวายเพิ่มขึ้น 6 เท่า และมีโอกาสเกิดโรคอัมพาตเพิ่มขึ้น 7 เท่า

           "ภาวะความดันโลหิตสูงจะค่อยๆ ทำให้หลอดเลือดภายในร่างกายค่อยๆ เสื่อมไป โดยเฉพาะ 3 อวัยวะสำคัญ คือ หลอดเลือดสมอง หลอดเลือดหัวใจและกล้ามเนื้อหัวใจ รวมทั้งไต ซึ่งเมื่อมีการตีบหรือแตกของหลอดเลือดในอวัยวะสำคัญเหล่านี้จะทำให้เสียชีวิตได้แบบเฉียบพลัน หรือทำให้เป็นอัมพาตได้ ดังนั้นแม้ในคนปกติ หรือผู้ที่มีอายุ 35 ปีขึ้นไป ควรตรวจวัดความดันโลหิตสูงอยู่ อย่างสม่ำเสมอ เนื่องจากหากได้รับการรักษาหรือปรับการปฏิบัติตัวแต่เนิ่นๆ จะทำให้หลอดเลือดไม่ผิดปกติเร็วเกินไปนัก สำหรับผู้ที่มีความดันโลหิตสูงอยู่แล้วนั้น หากมิได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนขึ้นได้" 
           ปัจจัยเสี่ยงต่อ โรคความดันโลหิตสูง นพ.ธวัชชัย กล่าวว่า ได้แก่ กรรมพันธุ์และสิ่งแวดล้อม โดยมีสาเหตุจากกรรมพันธุ์ ได้ประมาณ 30- 40% รวมทั้งสิ่งแวดล้อมที่เคร่งเครียด รีบเร่งมีผลต่อการก่อ โรคความดันโลหิตสูง ได้เร็วขึ้น ด้าน อายุ มักพบในอายุตั้งแต่ 40-50 ปี ขึ้นไป เพศซึ่งมักพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังวัยหมดประจำเดือน รูปร่างพบมากในผู้ที่มีภาวะน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วนมากกว่าคนผอม ส่วนเชื้อชาติ พบมากที่สุดในคนอเมริกันเชื้อสายคนดำแอฟริกัน รวมไปถึงผู้ที่ทานเกลือสูงหรือชอบกินเค็มมีโอกาสเกิด โรคความดันโลหิตสูง ได้

           สำหรับการรักษา โรคความดันโลหิตสูง มี 2 ทางเลือกด้วยกัน คือ การใช้ยา และไม่ใช้ยา ในผู้ป่วย โรคความดันโลหิตสูง ที่เริ่มรู้ตัวว่าเป็น แพทย์จะสามารถรักษา โรคความดันโลหิตสูง  ได้โดยป้องกันไม่ให้เกิดโรคแทรกซ้อน แต่สำหรับผู้ที่มีโรคแทรกซ้อนร่วมด้วย แพทย์จะต้องให้ยาและพยายามควบคุมระดับความดันให้อยู่ในเกณฑ์ที่ปกติ

           ปัจจุบันด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าขึ้น ทำให้ผู้ป่วยสามารถตรวจวัดความดันโลหิตได้ด้วยตัวเองแบบง่ายๆ ได้ที่บ้าน ซึ่งจะช่วยให้ผู้ป่วย โรคความดันโลหิตสูง ทราบระดับความดันโลหิตของตนเองตลอดเวลา หากมีระดับสูงผิดปกติก็สามารถรีบไปพบแพทย์หรือปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้เหมาะสม อันจะนำไปสู่การควบคุมระดับความดันโลหิตที่ดีขึ้น ตลอดจนลดปัญหาจากการเกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆ ได้ ความดันโลหิตสูงเป็นเพชฌฆาตเงียบ เป็นแล้วไม่หายขาด ต้องดูแลรักษาตลอดชีวิต เพราะฉะนั้นจึงคุ้มที่จะป้องกันและรักษาก่อนที่จะสายเกินแก้

           ทุกคนสามารถป้องกันการเกิดภาวะ ความดันโลหิตสูง ได้ โดยการเลือกทานอาหารที่เหมาะสม หลีกเลี่ยง อาหารเค็มจัด เพราะเกลือทำให้ความตึงตัวของผนังหลอดโลหิตแดงเพิ่มขึ้น รวมทั้งอาหารกลุ่มไขมัน ควรให้อยู่ในระดับกลางค่อนข้างต่ำ ควรหลีกเลี่ยงไขมันจากสัตว์และจำพวกกะทิ อีกทั้ง อาหารกลุ่มแป้งและน้ำตาลขัดขาวทุกชนิด เพราะจะทำให้น้ำหนักตัวและระดับไขมันในเลือดเพิ่มขึ้น 
           นอกจากนั้นควรหลีกเลี่ยง การสูบบุหรี่ และ แอลกอฮอล์ หรือดื่มได้ในปริมาณที่พอเหมาะ (วิสกี้ 2 ออนซ์หรือ ไวน์ 8 ออนซ์) รวมทั้งพยายามควบคุมน้ำหนักตัว เพราะความอ้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงในการเกิด โรคความดันโลหิตสูง  และออกกำลังกายให้พอควรและสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ ไม่เครียด และมีการตรวจวัดความดันโลหิตอย่างสม่ำเสมอ

           "อยากให้ทุกคนตระหนักและเข้าใจถึงความสำคัญของ โรคความดันโลหิตสูง ถ้าสามารถรักษาควบคุมให้ความดันโลหิตอยู่ในเกณฑ์ที่ปกติ ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม อย่าละเลย อย่าประมาท ก็จะมีโอกาสลดการเกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆ ต่อหัวใจ สมอง และไตได้ แล้วคุณจะห่างไกลจาก โรคความดันโลหิตสูง " นพ. ธวัชชัย กล่าวทิ้งท้าย

        

วันนี้นำสาระเรื่อง ข้อควรรู้ก่อนการตรวจโรคเอดส์ มาฝากค่ะอย่าคิดว่าเป็นเรื่องไกลตัวกันนะค่ะเพื่อน

ข้อควรรู้ก่อนการตรวจโรคเอดส์


ข้อควรรู้ก่อนการตรวจโรคเอดส์

ดัดแปลงจากบทความของ นพ.รุ่งโรจน์ ตรีนิติ www.clinicrak.com


การติดเชื้อ เอดส์ หรือ เอชไอวี (HIV) เริ่มด้วย การรับเชื้อปริมาณที่พอเพียงเข้าสู่ร่างกาย ซึ่งเข้าสู่ร่างกายได้ 3 ทาง คือ

1. เชื้อเข้ากระแสเลือดโดยตรง เช่น การฉีดยาเข้าเส้นเลือดโดยใช้เข็มร่วมกัน อุบัติเหตุเข็มตำ การรับเลือดที่ปนเปื้อนเชื้อ

2. เชื้อเข้าสู่ร่างกายทางผิวหนังที่มีรอยฉีกขาดหรือแผลเปิดหรือเยื่อบุช่องปาก ช่องทวาร อวัยวะเพศ โดยเชื้อปนเปื้อนกับของเหลวจากร่างกาย เช่น การมีสัมพันธ์ทางเพศกับผู้ติดเชื้อ บุคลากรสัมผัสกับน้ำคัดหลั่งที่มีเชื้อของผู้ป่วย

3. การถ่ายทอดจากแม่ที่ติดเชื้อไปสู่ทารกระหว่างตั้งครรภ์ ขณะคลอด หรือ การดื่มนมแม่ ช่วงระยะเวลาจากรับเชื้อเข้าสู่ร่างกายจนเชื้อไวรัสออกสู่กระแสเลือด ใช้ระยะเวลาประมาณ 2-6 สัปดาห์

ช่วงนี้ถ้าจะตรวจหาว่ามีเชื้อเอดส์หรือไม่ก็สามารถตรวจได้โดยตรวจ แอนติเจน ( ตัวเชื้อ ) กว่าร่างกายจะสร้างแอนติเจนบอดี ( ภูมิคุ้มกัน ) ก็ใช้เวลาประมาณ 3 สัปดาห์ถึง 3 เดือน

ดังนั้นถ้าจะตรวจแอนติเจนบอดี ( ภูมิคุ้มกัน )ได้ อย่างเร็วที่สุดก็ 3 สัปดาห์ (ก็ไม่ได้ หมายความว่าทุกคนจะมีแอนติเจนบอดี ( ภูมิคุ้มกัน )ขึ้นเร็วอย่างนี้เสมอไป และผู้ป่วยทุกรายที่ติดเชื้อ( 99%) จะใช้เวลาไม่เกิน 6 เดือน ต้องตรวจพบแอนติบอดีได้แน่นอน


ตรวจเลือดเอดส์มีกี่แบบ 

1. การตรวจหาแอนติเจนบอดี ( ภูมิคุ้มกัน )ต่อ เอดส์ หรือ เอชไอวี (HIV) (Anti-เอดส์ หรือ เอชไอวี (HIV) antibody)

1.1 ELISA : เป็นการ "ตรวจคัดกรอง" (screening test) ที่นิยมใช้กันแพร่หลาย ทำได้ง่าย ไม่แพง มีความไวมาก ความแม่นยำเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ ถ้าตรวจแล้วให้ผลบวกสองครั้ง จากน้ำยาของต่างบริษัท ก็ค่อนข้างมั่นใจได้

1.2 Western blot assay : เป็นการ "ตรวจยืนยัน" การติดเชื้อ เอดส์ หรือ เอชไอวี (HIV) ที่นิยมมากที่สุด เพราะมีความไว และความแม่นยำสูงกว่าวิธี ELISA แต่ราคาแพงกว่า ใช้เวลามากกว่า ทำยากกว่า

1.3 Indirect immunofluorescent assay (IFA) : คล้าย Western blot มีความไวและความแม่นยำพอๆกัน

1.4 Radioimmunoprecipitation assay (RIPA) :ให้ผลไวกว่า Western blot แต่ทำยากมักใช้ในงานวิจัยเท่านั้น

2. การตรวจหาแอนติเจน(ตัวเชื้อ) ส่วนใหญ่จะเป็นการตรวจหา p24 antigen ในเลือดด้วยวิธี ELISA สามารถตรวจหาตัวเชื้อ ในช่วงที่แอนติเจนบอดี ( ภูมิคุ้มกัน )ยังไม่ขึ้น ( window period ) แต่ก็มีข้อเสียคือความไวยังน้อย (คือตรวจไม่ค่อยพบ )

3. การเพาะเชื้อไวรัส ทำยาก ราคาแพง ความไวน้อย แต่ถ้าให้ผลบวก ก็ถือว่าแม่นยำที่สุด

4. การตรวจหา DNA ของไวรัส วิธีนี้คือการหาโดยอาศัยการเพิ่มปริมาณ DNA เรียกว่า PCR (Polymerase chain reaction) ตรวจได้แม้จะมีปริมาณ DNA เพียงน้อยนิด (มีความไวสูง) ถือเป็นวิธีการ "ตรวจยืนยัน" ที่แน่นอนที่สุด



การตรวจเลือดมีขั้นตอนอย่างไร 

ปกติเมื่อไปตรวจเลือดเอดส์ เขาก็จะตรวจแบบ "ตรวจขั้นต้น" หรือที่เรียก " ตรวจคัดกรอง " ใช้วิธี ELISA โดยตรวจแอนติเจนบอดี ( ภูมิคุ้มกัน ) ถ้าให้ ผลบวก ก็จะตรวจยืนยันโดยวิธี western blot assay จึงจะบอกได้ว่า "เลือดเอดส์ให้ผลบวก" การตรวจคัดกรองใช้เวลาประมาณ 30 นาที – 2 ชม.แต่ถ้าตรวจยืนยันด้วยวิธี western blot ก็แล้วแต่สถานที่ บางแห่ง 7 วันก็รู้ผล บางแห่ง ก็นัดเป็นเดือนก็มี



เลือดบวก แปลว่าอะไร

ผลบวก หมายถึงว่า "มี" หรือ "พบเชื้อ" หรือ "พบร่องรอยการติดเชื้อ” ถ้าผลเลือดบวกเอดส์ ก็แปลว่า เคยได้รับเชื้อโรคเอดส์ มาแล้วแต่ไม่ได้หมายความว่ากำลังเป็น โรคเอดส์ (ที่แสดงอาการแล้ว) ในขณะนั้น

ผลบวกปลอม พบได้ แต่น้อยมาก ซึ่งอาจพบจากแอนติเจนบอดี( ภูมิคุ้มกัน )ต่อกล้ามเนื้อเรียบ ต่อไวรัสชนิดอื่น

ผลลบปลอมมีไหม ? (ติดเชื้อ แต่ผลตรวจเป็นลบ) ก็มีครับ แต่น้อยมากเช่นกัน มักพบในผู้เพิ่งรับเชื้อมา แล้วร่างกายยังไม่สร้าง แอนติเจนบอดี ( ภูมิคุ้มกัน ) เมื่อตรวจแล้วภูมิคุ้มกันยังไม่ขึ้น ทำให้ได้ผลเป็น ลบ เรียกระยะนี้ว่า Window period ดังนั้นถ้าตรวจแล้วผลเลือดเป็น ลบ แต่มีเหตุควรสงสัย ควรจะตรวจซ้ำอีก 3-6 เดือนต่อมา ถ้าได้เป็น ผลลบอีก จึงจะแน่ใจว่า ไม่ติดเชื้อ



"ติดเชื้อ" กับ "เป็นเอดส์" เหมือนกันไหม 

"ติดเชื้อ" หมายถึงรับเชื้อมาแล้ว มีเชื้อในร่างกาย ตรวจเลือดเอดส์ก็ให้ผลบวก แต่ยังไม่มีอาการ บางคนกินยายับยั้งเชื้อเอดส์และรักษาสุขภาพให้แข็งแรง ก็มีชีวิตเหมือนคนปกติ (ดูหน้าตาก็ไม่รู้) เพียงแต่มีเลือดเอดส์เป็นบวกเท่านั้น

"เป็นเอดส์" หมายถึงเกิดมีอาการแทรกซ้อนต่าง ๆ แสดงออกทางร่างกายแล้ว เป็นผลจากที่ภูมิต้านทานของร่างกายลดลง จนไม่สามารถต่อต้านเชื้อโรคต่างๆได้ อาการที่อาจพบได้เช่น ต่อมน้ำเหลืองโตทั่วตัว เป็นเชื้อราในปาก เป็นงูสวัด ท้องเสียบ่อยๆ น้ำหนักลด จนกระทั่งกลายเป็นเอดส์เต็มขึ้น เช่น เชื้อราขึ้นสมอง ปอดอักเสบรุนแรง เป็นมะเร็ง

หลังรับเชื้อมาแล้ว…. เวลาผ่านไป 1 - 2 ปี มีไม่ถึง 5 % ที่เป็นเอดส์ เวลาผ่านไป 3 ปี ที่กลายเป็นเอดส์ มี 20 %

เวลาผ่านไป 6 ปี ที่กลายเป็นเอดส์ มี 50 % เวลาผ่านไป 16 ปี ที่กลายเป็นเอดส์ มี 65 - 100 %

เฉลี่ย นับจากรับเชื้อจนเป็นเอดส์ ประมาณ 7 - 11 ปี



ต้องเตรียมตัวก่อนตรวจอย่างไร ต้องอดอาหารไหม 

ไม่ต้องเตรียมตัวใดๆทั้งสิ้น แต่ต้องเตรียมเงินกับเตรียมใจ เพราะผลการตรวจเลือดเอดส์ไม่เหมือนการตรวจเลือดอย่างอื่น ถ้าผลเป็นบวก คนที่มีภาวะจิตใจไม่เข้มแข็งอาจหวั่นไหว หมดหวังท้อแท้ หรือตัดสินใจผิดๆ อาจเป็นที่รังเกียจ อาจถึงกับถูกไล่ออกจากงาน บริษัทประกันบางแห่งอาจไม่รับประกัน ถ้าไม่บอกผลตรวจเอดส์หรือ ถ้าได้ผลบวก

ดังนั้นก่อนไปตรวจเลือดจึงต้องเตรียมจิตใจให้ดีว่า ถ้าผลเลือดเป็นบวก เราจะรับสภาพได้ไหม จะเกิดอะไรขึ้น จะวางแผนรับมืออย่างไร ถ้ามีแฟน มีภรรยา เราจะทำอย่างไร จะมีบุตรไหม จะบอกกับใครบ้าง จะต้องดูแลตนเองอย่างไร 

วันเสาร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2553

วันนี้มีวิธีปรุงน้ำผลไม้น่ากินมาฝากชาวhealty-care กันค่ะ

น้ำเชอรี่

ส่วนผสม
เชอรี่ 100 กรัม (7 ช้อนคาว)
น้ำเชื่อม 30 กรัม (2 ช้อนคาว)
น้ำเปล่าต้มสุก 200 กรัม (14 ช้อนคาว)
เกลือป่นเสริมไอโอดีน 1 กรัม(1/5 ช้อนชา)
วิธีทำ
เลือกเชอรี่เด็ดก้านล้างให้สะอาด นำไปใส่เครื่องปั่นใส่น้ำต้มครึ่งหนึ่ง ปั่นให้ละเอียดนำไปกรองเอาแต่น้ำ นำน้ำเปล่าต้มสุกส่วนที่เหลือใส่ลง ไปคั้นกับกากเชอรี่ให้แห้งมากที่สุดนำน้ำเชอรี่ที่คั้นได้ใส่น้ำเชื่อมเติมเกลือ ชิมรสตามชอบ

ประโยชน์ที่ร่างกายจะได้รับ

คุณค่าทางอาหาร มีวิตามินซีสูงมาก ช่วยป้องกันโรคเลือดออก ตามไรฟัน
คุณค่าทางยาช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง

น้ำสับปะรด



ส่วนผสม

น้ำสับปะรด 240 กรัม (1/4 ผลใหญ่)
น้ำเชื่อม 15 กรัม (1 ช้อนคาว)
เกลือป่นเสริมไอโอดีน 2 กรัม (2/5 ช้อนชา)
วิธีทำ
นำสับปะรดล้างให้สะอาด ปอกเปลือกแล้วล้างอีกครั้ง คั้นเอาแต่น้ำ เติมน้ำเชื่อม เกลือ ชิมรสตามชอบ
ประโยชน์ที่ร่างกายจะได้รับ

คุณค่าทางอาหาร มีแคลเซียม และฟอสฟอรัสมากช่วยบำรุงกระดูก และฟันรองลงมามีวิตามินซีช่วยป้องกันโรคเลือด ออกตามไรฟัน
คุณค่าทางยาช่วยย่อยอาหาร ลดอาการแน่นท้อง ลดอาการ อักเสบ บวม ซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่สึกหรอ ช่วยขับ เสมหะ

น้ำกระเจี๊ยบแดง

ส่วนผสม

ดอกกระเจี๊ยบสด/แห้ง 20 กรัม (5 ดอก)
น้ำเชื่อม 30 กรัม (2 ช้อนคาว)
น้ำเปล่า 200 กรัม (14 ช้อนคาว)
เกลือป่นเสริมไอโอดีน 2 กรัม (2/5 ช้อนคาว)

วิธีทำ
1 เอาดอกกระเจี๊ยบสดหรือแห้งก็ได้ ล้างน้ำทำความสะอาดนำใส่หม้อ ต้มจนเดือด แล้วลดไฟลงอ่อน ๆ เคี่ยวเรื่อย ๆ จนน้ำเป็นสีแดง จนเข้มข้น
2. เอาดอกกระเจี๊ยบขึ้นจากหม้อต้ม แล้วเอาน้ำเชื่อมและเกลือใส่ลงไป ปล่อยให้น้ำกระเจี๊ยบเดือด 1 นาที ก็ยกลง ชิมรสตามใจชอบ
3. เอาขวดแม่โขงมาล้างทำความสะอาด ต้มในน้ำเดือด 20 นาที นำ น้ำกระเจี๊ยบแดงมากรอก แล้วปิดจุกให้แน่น เก็บไว้ได้นาน (ควร แช่ในตู้เย็น)
หรืออีกวิธีหนึ่ง นำดอกกระเจี๊ยบมาตากแห้ง แล้วนำมาบดเป็นผง นำผงกระเจี๊ยบครั้งละ 1 ช้อนชา ชงในน้ำเดือด 1 ถ้วย (250 มิลลิกรัม )

ประโยชน์ที่ร่างกายจะได้รับ

คุณค่าทางอาหารให้วิตามินเอสูงมาก ซึ่งช่วยบำรุงสายตารอง ลงมามีแคลเซียม ช่วยบำรุงกระดูกและฟัน
คุณค่าทางยาช่วยขับปัสสาวะ ลดความดันโลหิต เป็นยาระบาย อ่อนๆ และช่วยแก้อาการกระหายน้ำ


น้ำตะไคร้

ส่วนผสม

ตะไคร้ 20 กรัม (1 ต้น)
น้ำเชื่อม 15 กรัม (1 ช้อนคาว)
น้ำเปล่า 240 กรัม (16 ช้อนคาว)

วิธีทำ
นำตะไคร้มาล้างให้สะอาด หั่นเป็นท่อนสั้น ทับให้แตก ใส่หม้อต้มกับ น้ำให้เดือดกระทั่งน้ำตะไคร้ออกมาปนกับน้ำจนเป็นสีเขียว สักครู่จึงยกลง กรองเอาตะไคร้ออก เติมน้ำเชื่อมชิมรสตามชอบหรืออาจเอาเหง้าแก่ที่อยู่ใต้ดิน ล้างให้สะอาด ฐานเป็นแว่นบาง ๆ คั่วไฟอ่อน ๆ พอเหลือง ชงเป็นชา ดื่มวันละ 3 ครั้ง ๆ ละ 1 ถ้วยชา จะช่วยขับปัสสาวะให้สะดวก

ประโยชน์ที่ร่างกายจะได้รับ

คุณค่าทางอาหาร มีวิตามินเอ ช่วยบำรุงสายตา นอกจากนี้ยัง แคลเซียมและฟอสฟอรัส ช่วยบำรุงกระดูกและฟัน ช่วย เพิ่มกลิ่นหอมให้กับอาหาร
คุณค่าทางยาแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ จุกเสียด ขับ ปัสสาวะ ขับเหงื่อได้ดีช่วยลดพิษของสารแปลก ปลอมในร่างกาย รวมทั้งช่วยลดความดันโลหิต 

ไม่รู้ว่าแฟนแฟนของ “กุ๊กเล็ก” เป็นเหมือนกันไหม ที่เวลาเห็นท้องฟ้าที่เคยเป็นสีฟ้าสดใสกลับขมุกขมัวจนเป็นสีเทาหม่นๆ ดูแล้วพาลให้หัวใจห่อเหี่ยวชอบกล ยิ่งเวลาฝนโปรยปรายลงมายิ่งแย่ใหญ่ เพราะไหนจะเศร้าไปกับบรรยากาศรอบตัวแล้ว รถยังติดยิ่งกว่าตังเมซะอีก

แต่จะมามัวนั่งเศร้าไปตามฤดูฝนก็กระไรอยู่ ลุกขึ้นมาทำตัวให้สดใส สดชื่นกับ น้ำอัญชัญ ที่ “กุ๊กเล็ก” ได้สูตรมาจากคุณแม่ ซึ่งวิธีการทำก็ง่ายแสนง่ายแถมยังกินดีอีกต่างหาก เพราะดอกอัญชัญจัดได้ว่ามีสรรพคุณทางยาโบราณ ที่เชื่อว่าเป็นยาบำรุงรักษาดวงตา แก้อาการตาฟาง ตามัว และยังมีคุณสมบัติในการขับปัสสาวะอีกด้วย

อย่ากระนั้นเลย ตาม “กุ๊กเล็ก” เข้าครัวไปทำน้ำอัญชัญดับกระหาย คลายร้อน กันดีกว่า

ส่วนผสม

ดอกอัญชัญ 4-5 ดอก(ต่อ 2 แก้ว)
น้ำสะอาด 2 แก้ว
น้ำตาลทราย (ตามชอบ)
มะนาว (ตามชอบ)

เมื่อได้ส่วนผสมแล้ว ก็ถึงเวลาลงมือลงมือเด็ดก้านสีเขียวๆที่ติดตรงขั้วออก แล้วนำดอกอัญชัญไปล้างให้สะอาด ระหว่างนั้นก็ตั้งไฟต้มน้ำแล้วใส่ดอกอัญชัญลงไป พอถึงตอนนี้น้ำจะเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเดียวกับดอก รอให้น้ำเดือดแล้วใส่น้ำตาลตามชอบ เสร็จแล้วน้ำมากรองเอากากออก พักทิ้งไว้ให้เย็น เวลาดื่มให้ใส่น้ำแข็ง แค่นี้ก็จะได้น้ำอัญชัญสีสวยสดใส

สำหรับใครที่ชอบรสเปรี้ยวก็บีบมะนาวตามชอบ สีของน้ำอัญชัญจากสีฟ้าก็จะเปลี่ยนเป็นสีม่วง เวลาดื่มจะได้กลิ่นมะนาวทำให้สดชื่นแถมสีก็ดูสวยแปลกตา เรียกได้ว่าแก้วนี้นอกจากจะมีสรรพคุณทางยาแล้ว ยังเพิ่มสีสันให้ชีวิตอีกด้วย

วิธีทำน้ำเพื่อนสุขภาพ อร่อยๆสำหรับชาวhealty-careค่ะ


น้ำกะหล่ำปลี ทำจากกะหล่ำปลี ผักวิเศษที่มีวิตามินซีสูง นอกจากนี้ยังอุดมไปด้วยวิตามินเอ วิตามินบี1 วิตามินบี 2 ช่วยรักษาโรคกระเพาะได้ เนื่องจากมีสารกลูตามีนช่วยเคลือบกระเพาะ ทั้งยังช่วยขับถ่ายได้ดี ต่อต้านสารก่อมะเร็ง ช่วนลดระดับคลอเลสเตอรอล ทำให้นอนหลับสนิท
วิธีทำ (จำนวน 1 1/2 แก้ว)
กะหล่ำปลีหั่นละเอียด1 ถ้วย
น้ำมะนาว1 ช้อนโต๊ะ
น้ำเชื่อม3 ช้อนโต๊ะ
เกลือป่น1/2 ช้อนชา
น้ำต้มสุกแช่เย็น1 ถ้วย

ปั่นส่วนผสมทั้งหมดเข้าด้วยกันให้ละเอียด กรองด้วยผ้าขาวบาง รินใส่แก้ว ดื่มทันที
พั้นช์ขิง ขิงพืชสมุนไพร ที่มีกลิ่นหอมรสเผ็ด ที่เน้อของขิงนั้นอุดมไปด้วยวิตามินบี 1 วิตามินบี 2 และเกลือแร่ชนิดต่างๆ ช่วยป้องกันอาการเมารถ เมาเรือ ป้องกันเลือดจับตัวแข็งเป็นก้อน ช่วยกระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อทางเดินอาหาร เป็นยาขับลมจากกระเพาะและลำไส้ แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ การทำพั้นช์ขิงนี้ แสนง่าย เพียงแต่ละเอียดในการเลือกขิงสักหน่อย โดยเลือกขิงแก่ ผิวเรียบ ไม่มีรอยตำหนิ ปอกเปลือกขิงแล้วล้างให้สะอาด หั่นขิงออกเป็นแว่น
วิธีทำ (จำนวน 2 แก้ว)
ขิงแก่หั่นชิ้น1/2 ถ้วย
น้ำสัปปะรด1 ถ้วย
น้ำส้มคั้น1/2 ถ้วย
น้ำผึ้ง2 ช้อนโต๊ะ

ใส่ขิงแว่นลงในเครื่องแยกกาก-น้ำ สกัดเอาแต่น้ำขิง แล้วจึงผสมส่วนผสมทุกอย่างให้เข้ากัน แช่เย็น รินใส่แก้วดื่ม
น้ำแตงกวาปั่น แตงกวาผักสดรูปร่างยาวรี ที่มักพบเห็นในจานข้าวผัดเป็นประจำ และแตงกวาที่ถูกหั่นเป็นแว่นๆในจานผักแนมน้ำพริกต่างๆ นอกจากจะช่วยดับความเผ็ดทำให้ชื่นใจแล้ว แตงกวายังเปี่ยมไปด้วยงิตามินเอ วิตามินบีรวม วิตามินซี และเกลือแร่ต่างๆมากมาย แตงกวาช่วยแก้กระหายน้ำ คลายร้อน และมีคุณสมบัติช่วยบำรุงผิวพรรณให้ชุ่มชื่น ช่วยให้กล้ามเนื้อมีความยืดหยุ่นดี หากดื่มเป็นประจำจะทำให้ผิวดูอ่อนกว่าวัย นึกแล้วว่าเมนูสุขภาพคราวนี้ต้องถูกใจสาวๆหนุ่มๆผู้รักการดูแลตัวเองเป็นแน่ สุดท้ายแตงกวายังช่วยบำรุงเส้นผมให้เงางามเป็นประกายอีกด้วย
วิธีทำ (จำนวน 2 1/2 แก้ว)
แตงกวาปอกเปลือกหั่นชิ้น1 ถ้วย
โยเกิร์ตรสธรรมชาติ1/2 ถ้วย
หอมใหญ่หั่นชิ้นเล็ก1 ช้อนโต๊ะ
น้ำแข็งบดละเอียด1/2 ถ้วย

ปั่นส่วนผสมทั้งหมดเข้าด้วยกันให้ละเอียด แล้วรินใส่แก้วดื่มทันที

วันอังคารที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ผลไม้ไทย ต้านโรคมะเร็ง

ผลไม้ไทย

 

          เมื่อ วันที่ 20 ม.ค. นพ.ปราชญ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ขณะนี้คนไทยกำลังเผชิญกับปัญหาสุขภาพที่เกิดมาจากพฤติกรรมการกินการอยู่มาก ขึ้น ข้อมูลการวิจัยจากผู้เชี่ยวชาญทั้งในและต่างประเทศบ่งชี้ว่า ปัญหาสุขภาพที่เกิดขึ้น เกี่ยวข้อง กับสารที่เรียกว่า อนุมูลอิสระ โดยอนุมูลอิสระดังกล่าว สามารถทำปฏิกิริยาโยงใยในร่างกายได้มากมาย ก่อให้เกิดการอักเสบ การทำลายเนื้อเยื่อ เกิดต้อกระจกในผู้สูงอายุ โรคมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด โดยเฉพาะโรคมะเร็งและโรคหัวใจนี้กำลังเป็นปัญหาใหญ่ทั่วโลก

          สำหรับ คนไทยเสียชีวิตจากโรคมะเร็งเพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่าตัว จากปี 2540 เสียชีวิต 26,237 คน เป็น 52,062 คน ในปี 2549 เฉลี่ยชั่วโมงละ 6 ราย เสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือดปีละ 34,000 ราย เฉลี่ยชั่วโมงละ 4 ราย โดยอนุมูลอิสระนี้ มาจากภายนอกและภายใน ร่างกาย ได้แก่ มลพิษในอากาศจาก ควันบุหรี่ แสงแดด รังสีแกมมา คลื่นความร้อน ส่วนที่มาจากภายในร่างกายเกิดจากกระบวนการเผาผลาญของออกซิเจนภายในเซลล์ หรือเกิดจากย่อยทำลายเชื้อแบคทีเรียของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ก็ทำให้เกิดอนุมูลอิสระได้
          ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวด้วยว่า จากการวิจัยดังกล่าวพบว่า มีสารที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ได้แก่ วิตามินอี วิตามินซี และเบต้าแคโรทีน สารทั้ง 3 ตัวนี้ สามารถกำจัดอนุมูลอิสระได้ โดยวิตามินซี ซึ่งละลายน้ำได้ จะทำหน้าที่จับอนุมูลอิสระในเซลล์ที่เป็นของเหลว ป้องกันการถูกอนุมูลอิสระทำลาย ส่วนวิตามินอี เป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน จะช่วยยับยั้งการเกิดอนุมูลอิสระได้ ส่วนวิตามินเอ ซึ่งเป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน ที่อยู่ในรูปของเบต้าแคโรทีน หรือแคโรทีนอยด์

          ซึ่ง มีในอาหารธรรมชาติประมาณ 600 กว่าชนิด ทำหน้าที่ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ยับยั้งการก่อกลายพันธุ์ ป้องกันเนื้องอก และมีความเกี่ยวข้องกับสุขภาพด้านอื่นๆ ได้แก่ ลดความเสี่ยงเกี่ยวกับการเสื่อมของตาเนื่องจากสูงอายุ และต้อกระจก รวมทั้งลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งบางชนิด และโรคหัวใจและหลอดเลือดได้อย่างดี

          ทั้งนี้ สารในกลุ่มแคโรทีนอยด์ มีมากในผักผลไม้หลายชนิด โดยเฉพาะที่มีสีเขียว แดง แสด และเหลือง เช่น ผักใบสีเขียวเข้ม ได้แก่ ผักขม ผักคะน้า ผักตำลึง ผักบุ้ง ผักผลไม้ที่มีสีเหลือง เช่น ฟักทอง แครอท มะเขือเทศ มะม่วงสุก มะละกอสุก เป็นต้น วิตามินอี เป็นวิตามินที่ละลายในน้ำมัน และมีมากในน้ำมันพืชทั่วไป เช่น น้ำมันข้าวโพด น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันดอกคำฝอย เป็นต้น ในผักและผลไม้มีวิตามินอีค่อนข้างน้อย ส่วนวิตามินซีมีมากในผักและผลไม้สดทั่วไป 
          ด้าน นพ.ณรงค์ศักดิ์ อังคะสุวพลา อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า จากการที่กรมอนามัยทำการศึกษาผลไม้ ที่มีบริโภคในประเทศไทย 83 ชนิด ในปริมาณส่วนที่รับประทาน 100 กรัม พบว่า ผลไม้ที่พบสารเบต้าแคโรทีนมากที่สุด 10 อันดับแรก คือ มะม่วงน้ำดอกไม้สุก 873 ไมโครกรัม รองลงมา ได้แก่ มะเขือเทศราชินี 639 ไมโครกรัม มะละกอสุก 532 ไมโครกรัม แคนตาลูปเหลือง 217 ไมโครกรัม มะปรางหวาน 230 ไมโครกรัม มะยงชิด 207 ไมโครกรัม สับปะรดภูเก็ต 150 ไมโครกรัม แตงโม 122 ไมโครกรัม ส้มสายน้ำผึ้ง 101 ไมโครกรัม และลูกพลับ 93 ไมโครกรัม 

          สำหรับ ผลไม้ที่มีวิตามินอีสูงสุด 10 อันดับแรก ได้แก่ ขนุนหนัง 2.38 มิลลิกรัม มะขามเทศ 2.29 มิลลิกรัม มะม่วงเขียวเสวยดิบ 1.52 มิลลิกรัม มะเขือเทศราชินี 1.34 มิลลิกรัม มะม่วงเขียวเสวยสุก 1.23 มิลลิกรัม มะม่วงน้ำดอกไม้สุก 1.1 มิลลิกรัม มะม่วงยายกล่ำสุก 0.97 มิลลิกรัม กล้วยไข่ 0.47 มิลลิกรัม แก้วมังกรเนื้อสีชมพู 0.59 มิลลิกรัม และสตรอเบอร์รี่มี 0.54 มิลลิกรัม

          ส่วน ผลไม้ที่มีวิตามินซีมากที่สุด 10 อันดับแรก คือ ฝรั่งกลมสาลี่ 187 มิลลิกรัม ฝรั่งไร้เมล็ด 151 มิลลิกรัม มะขามป้อม 111 มิลลิกรัม มะขามเทศ 97 มิลลิกรัม เงาะโรงเรียน 76 มิลลิกรัม ลูกพลับ 73 มิลลิกรัม สตรอเบอร์รี่ 66 มิลลิกรัม มะละกอแขกดำสุก 55 มิลลิกรัม พุทราแอปเปิ้ล 47 มิลลิกรัม และส้มโอขาวแตงกวา 48 มิลลิกรัม และจากการศึกษากล้วยต่างๆ 24 สายพันธุ์ พบว่า กล้วยไข่พม่ามีสารเบต้าแคโรทีนสูงสุด 528 ไมโครกรัม รองลงมาคือ กล้วยงาช้าง 520 ไมโครกรัม กล้วยไข่โนนสูง 397 ไมโครกรัม กล้วยนางพญา 393 ไมโครกรัม กล้วยไข่ 271 ไมโครกรัม และกล้วยหักมุกนวล 270 ไมโครกรัม
          อธิบดี กรมอนามัย กล่าวต่อว่า ปกติเราจะได้รับสารอาหารทั้ง 3 ชนิดจากการรับประทานอาหารโดยทั่วไปน้อย เพราะถูกทำลายได้ง่ายจากความร้อน จึงต้องเพิ่มการรับประทานผลไม้และผักสดด้วย โดยแนะนำให้รับประทานอาหารให้หลากหลายชนิดและให้ได้สัดส่วนตามธงโภชนาการ โดยใน 1 วัน คนเราควรบริโภคผลไม้ ให้ได้วันละ 4 ส่วน โดย 1 ส่วนของผลไม้ หากเป็นผลไม้ขนาดเล็ก เช่น องุ่น ลิ้นจี่ ลำไย เท่ากับ 6-8 ผล, ผลไม้ขนาดกลาง เช่น ส้ม ชมพู่ กล้วย น้อยหน่า เท่ากับ 1-2 ผล

มันกลับมาอีกแล้วค่ะกับไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 (influenza A / H1N1)

ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 (influenza A / H1N1)

เป็นโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจเกิดจากเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธ์ใหม่ ชนิด เอ เอช1 เอ็น1 (A/H1N1) ติดต่อจากคนสู่คน มีอาการรุนแรงกว่าโรคไข้หวัดธรรมดา และปัจจุบันยังไม่พบหลักฐานว่ามีการติดต่อจากสุกรมาสู่คน

็H1N1 FLU

คนติดโรคนี้ได้อย่างไร

โรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุใหม่ ติดต่อได้โดยการไอหรือจามรดกันโดยตรง หรือติดต่อผ่านทางมือที่สัมผัสสิ่งของปนเปื้อนเชื้อโรค เช่น ลูกบิดประตู ราวบันได โทรศัพท์ เป็นต้น แล้วใช้ชือแคะจมูก ขยี้ตา ป้ายปาก โดยไม่ได้ล้างมือด้วยสบู่ก่อน



อาการของโรคนี้มีอะไรบ้าง

มีไข้สูง หนาวสั่น ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก คัดจมูก อาจมีอาเจียนหรือท้องเสียร่วมด้วย ในรายที่มีอาการรุนแรงจะมีอาการหายใจลำบาก หอบเหนื่อย เนื่องจากปอดอักเสบ และอาจเสียชีวิตได้


คำแนะนำสำหรับประชาชน

  • หลีกเลี่ยงการใกล้ชิดกับผู้ที่มีอาการเป็นหวัด
  • ไม่ควรอยู่ในสถานที่แอดัด หรือที่ชมนุม
  • ผู้ ที่เดินทางกลับมาจากพื้นที่ที่เกิดการระบาด ถ้ามีอาการของไข้หวัดใหญ่ภายใน 7 วัน หลังจากเดินทางกลับ ให้รับปรึกษาแพทย์ เพื่อรับการรักษาและปฏิบัติตนตามคำแนะนำอย่างเข้มงวด
  • หากท่าน มีความจำเป็นต้องเดินทางไปในพื้นที่/ประเทศที่มีการระบาดของโรค ให้ระมัดระวังป้องกันตนเองอย่างเคร่งครัด หลีกเลี่ยงการเข้าไปในที่ชุมนุมชน และหมั่นล้างมือด้วยสบู่บ่อย ๆ
  • ผู้ที่มีอาการป่วย ควรหยุดงาน กรณีนักเรียน ต้องให้หยุดเรียนพักอยู่กับบ้าน ไม่เข้าไปในที่ชุมชน


การป้องกัน



หมั่นล้างมือบ่อย ๆ ไม่ใช้ของส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น เช่น ผ้าเช็ดหน้า แก้วน้ำ ฯลฯ ใช้ผ้าปิดปาก ปิดจมูกทุกครั้ง เมื่อไอหรือจาม สวมหน้ากากอนามัย เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรค หรือป้องกันการติดเชื้อเมื่ออยู่ในสถานที่ที่มีคนจำนวนมาก หลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีผู้คนแออัด และอากาศถ่ายเทไม่สะดวก หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ กระดาษเช็ดน้ำมูก น้ำลาย ควรทิ้งในภาชนะที่มีฝาปิด

สวมหน้ากากอนามัย

ล้างมือเป็นนิสัย
ออกกำลังกายเป็นประจำ
รับประทานอาหารที่มีประโยชน์
นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
ปิดจมูกและปากทุกครั้งเมื่อไอหรือจาม
หลีกเลี่ยงการคลุกคลีใกล้ชิดกับผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่

วันเสาร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2553

กินผลไม้ให้ถูกเวลา...มากคุณค่า

                       
                 กินผลไม้ให้ถูกเวลา...มากคุณค่า

ร่างกายคนเราเหมาะจะย่อยผลไม้มากกว่าเนื้อสัตว์
หนังสือ ขายดีไปทั่วโลกชื่อ Fit for Life ของนักบรรยายเรื่องโภชนาการชาวอเมริกัน ฮาร์วีย์ และมาริลีน ไดมอนด์ ได้เสนอแนวคิดที่น่าสนใจเกี่ยวกับการกินผลไม้จนเราอดไม่ได้ที่ต้องนำมาถ่าย ทอดสู่กันฟังว่า ที่จริงแล้วเมื่อสืบค้นถึงประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์มนุษย์ อย่างที่ ดร.อลัน วอล์คเกอร์ นักมานุษยวิทยาคนสำคัญ ได้เผยผลการศึกษาในหนังสือพิมพ์นิวยอร์คไทม์ เมื่อวันที่ 15 พ.ค. 2522 นั้น ดร.วอล์คเกอร์ได้ศึกษาอย่างละเอียดทั้งจากหลักฐานโครงกระดูกและฟันของมนุษย์ ตลอดจนซากฟอสซิลต่างๆ เขายืนยันว่ามนุษย์นั้นแต่เดิมไม่ใช่เป็นพวกที่กินเนื้อ เมล็ดพืช หรือแม้แต่ผักหญ้าใดๆ หากแต่ดำรงชีวิตอยู่ด้วยการเก็บผลไม้มากิน ธรรมชาติได้สร้างร่างกายคนให้รองรับกับการกินผลไม้เป็นอาหารตั้งแต่ไหนแต่ไร มา เพิ่งมามีช่วงศตวรรษที่ผ่านมานี้เองที่เราหันไปกินเนื้อสัตว์กันมากขึ้นกว่า เดิมมาก ซึ่งผลตามมาก็คือ ร่างกายต้องปรับตัวอย่างหนัก บางครั้งปรับตัวไม่ไหวก็กลายเป็นพิษ เห็นจากอุบัติการณ์เพิ่มขึ้นของโรคหลอดเลือดหัวใจ เบาหวาน หรือมะเร็งนานาชนิด ไม่ว่าจะเป็นมะเร็งเม็ดเลือด เต้านม ตับ กระเพาะอาหาร ฯลฯ ขณะที่การกินผลไม้เป็นวิธีสำคัญที่ช่วยล้างพิษ เพราะผลไม้ส่วนใหญ่มีน้ำประกอบอยู่ในปริมาณ 80-90% ทั้งมีกากใย จึงช่วยกวาดล้างพิษต่างๆ ซึ่งคั่งค้างในร่างกายให้ออกไปโดยการขับถ่าย ดังนั้นเมื่อรวมกับสารอาหารที่เราได้จากผลไม้แล้ว จึงนับว่าเป็นอาหารที่ให้ประโยชน์กับร่างกายสูงกว่าอาหารอีกหลายชนิด ในข้อแม้ว่าต้องกินอย่างถูกต้องและเหมาะสมจริงๆ
นอก จากให้สารอาหารต่างๆ แล้ว ไดมอนด์ยังยืนยันว่าการกินผลไม้ แม้จะมีน้ำตาล คาร์โบไฮเดรต และแคลอรีสูง แต่ไม่ได้ทำให้เราอ้วนแบบการกินอาหารชนิดอื่นๆ โดยอ้างถึงผลงานวิจัยของ ศ.จูดิท โรแดง จากมหาวิทยาลัยเยล ที่ได้แถลงผลงานวิจัยของเธอในเดือน ต.ค.ปี 2526 เกี่ยวกับน้ำตาลในผลไม้มีผลต่อการกินอาหารมื้อต่อไปได้ลดลง โดยทดลองให้คนดื่มน้ำหวานจากน้ำตาลฟรุคโตสที่ได้จากผลไม้กลุ่มหนึ่ง เปรียบเทียบกับอีกกลุ่มที่ให้กินน้ำหวานจากน้ำตาลซูโครส แล้วให้ทั้งสองกลุ่มกินอาหารมื้อต่อไป พบว่ากลุ่มที่กินน้ำตาลผลไม้จะกินอาหารมื้อต่อไปได้น้อยกว่าอีกกลุ่มเฉลี่ย ถึง 479 แคลอรี ขณะที่ ดร.วิลเลียม คาสเทลลี จากฮาร์วาร์ด และศูนย์ศึกษาโรคหัวใจฟรามิงแฮม (แมสซาชูเส็ท) พบว่าสารหลายชนิดที่พบในผลไม้มีส่วนช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและ หัวใจวายได้ โดยช่วยป้องกันไม่ให้เลือดจับตัวหนาจนไปอุดตันในหลอดเลือด นอกจากนี้ร่างกายจะใช้เวลาในการย่อยและดูดซึมสารอาหารจากผลไม้ไปใช้ในร่าง กายเพียง 20-30 นาทีเท่านั้น แถมยังใช้พลังงานสำหรับการย่อยน้อยมาก (โดยเฉพาะผลไม้ที่มีน้ำมาก เช่น ส้ม องุ่น ในขณะที่หากเป็นกล้วย ทุเรียน อินทผลัม ซึ่งมีน้ำน้อยจะใช้เวลาย่อยนานขึ้น) ซึ่งต่างกับการกินอาหารชนิดอื่น เช่น ข้าว เนื้อสัตว์ ฯลฯ จะต้องใช้พลังงานในการย่อยอย่างสูง ใช้เวลานานตั้งแต่ชั่วโมงครึ่ง ถึง 4 ชั่วโมง หรือหากกินอาหาร หลายๆ อย่างพร้อมกัน เช่น เนื้อสัตว์ แป้ง ในปริมาณมากๆ อาจใช้เวลาย่อยนานถึง 8 ชั่วโมง ใช้พลังงานไปกับการย่อยเต็มที่ ผลก็คือ ทำให้เรารู้สึกเพลีย ง่วงเหงาหาวนอนหลังอาหารมื้อนั้น ซึ่งอาการนี้จะไม่เกิดเลยหลังจากที่เรากินผลไม้เข้าไป
กินผลไม้ตอนท้องว่าง...ได้ประโยชน์สูงสุด

ไดมอนด์เสนอแนวความคิดว่าน้ำและกากใยในผลไม้ช่วยในการขับถ่ายของเสียออก จากร่างกาย จึงช่วยลดน้ำหนักได้ และร่างกายจะใช้ประโยชน์จากผลไม้สูงสุดต่อเมื่อคนนั้นต้องกินผลไม้อย่างถูก วิธี คือการกินผลไม้ขณะที่ท้องว่าง ไม่ควรกินผลไม้พร้อมกับหรือหลังอาหารอื่นๆ หรือหากกินผลไม้แล้วจะกินอาหารอื่นตาม ก็ควรรอเวลาอย่างน้อย 20-30 นาทีเพื่อให้ผลไม้ที่กินเข้าไปตกสู่ลำไส้เล็กและดูดซึมสารอาหารจากผลไม้เข้า สู่ร่างกายได้อย่างเต็มที่ การห้ามกินผลไม้หลังอาหารนั้นเพราะเมื่ออาหารตกถึงกระเพาะจะใช้เวลาย่อย ประมาณ 4 ชั่วโมง หากกินผลไม้ตามลงไปแทนที่จะผ่านไปยังลำไส้เล็กได้เลย ก็จะต้องถูกขัดขวางจากอาหารที่รอการย่อยเหล่านั้น ระหว่างนี้ทั้งอาหารและผลไม้ที่ผสมกันในกระเพาะจึงอาจทำให้เกิดการหมักบูด เกิดแก๊ส ซึ่งมีผลให้เกิดอาการแน่น จุก หรือไม่สบายท้องได้ ทั้งนี้สอดคล้องกับแนวคิดของ ดร.เฮอร์เบิร์ต เอ็ม. เชลตัน ผู้เชี่ยวชาญเรื่องโภชนาการของสหรัฐฯ ที่เน้นว่าคุณค่าของผลไม้จะให้ประโยชน์กับเราเต็มที่เมื่อกินขณะท้องว่าง แต่หากใครที่กินผลไม้ไม่ถูกวิธี แต่ไม่รู้สึกแย่อะไร ก็แสดงว่าร่างกายคุณปรับตัวได้ดี แต่ก็น่าเสียดายที่จะไม่ได้รับคุณค่าของผลไม้เต็มที่อย่างที่ควรจะเป็น

ดังนั้นหากใครที่กินอาหารแล้วต้องการกินผลไม้ตาม ควรรอเวลาให้อาหารที่กินเข้าไปก่อนหน้านั้นย่อยหมดก่อน แล้วจึงค่อยกินผลไม้ หากเป็นอาหารเบาๆ เช่น สลัดผักสด ใช้เวลารอประมาณ 2 ชั่วโมง หรือหากคุณเพิ่งกินอาหารหนักอย่างเช่น ข้าว หรือเนื้อสัตว์ ที่ใช้เวลาย่อยนานขึ้น ก็อาจต้องรออย่างน้อย 4 ชั่วโมง หรือกินอาหารหลายๆ อย่างรวมกัน มีกากใยน้อย ย่อยยากขึ้น ก็อาจใช้เวลามากถึง 8 ชั่วโมงเลยทีเดียว ซึ่งไม่แนะนำให้กินผลไม้ตามไปในช่วงเวลานั้นเลย
ตาม แนวคิดนี้ เวลาที่เหมาะสมที่สุดที่ควรจะกินผลไม้หรือดื่มน้ำผลไม้ คือ ช่วงเช้าของทุกวัน ตั้งแต่ตอนตื่นจนถึงเที่ยง เนื่องจากเป็นช่วงที่ร่างกายสะสมพลังงานไว้เต็มเปี่ยมตลอดคืน ดังนั้นเวลาตื่นจะเป็นช่วงที่ร่างกายสดชื่นที่สุด จึงไม่ควรจะสูญเสียพลังงานที่มีค่าของวันนี้ไปเปล่าๆ กับการย่อยอาหารนานๆ แต่การกินผลไม้ที่ใช้พลังงานในการย่อยต่ำจะช่วยให้เรามีพลังงานเหลือเฟือไว้ ใช้ประโยชน์กับกิจกรรมอื่นๆ ของชีวิต และดูดซึมสารอาหารที่ควรจะได้รับอย่างเต็มที่ รวมทั้งได้กากใยช่วยขับของเสียที่สะสมมาจากวันก่อน ทั้งมีส่วนช่วยให้น้ำหนักลดลง โดยที่ในช่วงเวลาดังกล่าวเราสามารถกินผลไม้ได้มากเท่าที่อยากกิน และเว้นระยะประมาณสักครึ่งชั่วโมงจึงค่อยกินอาหารมื้อกลางวัน หากทำแบบนี้ได้เป็นประจำ ร่างกายเราก็จะได้รับสารอาหารสำคัญจากผลไม้เต็มที่ ช่วยให้เราคงความเป็นหนุ่มเป็นสาวได้ดี มีอายุยืน สุขภาพดี กระชุ่มกระชวย อยู่เสมอ

มารู้จัก บันได 5 ขั้น สู่ชีวิตใหม่ ที่มีค่าและเป็นสุข

         บันได 5 ขั้น สู่ชีวิตใหม่ ที่มีค่าและเป็นสุข

บันไดขั้นที่ 1 มองตัวเองว่าดีและมีค่าทุกวัน
ใน แต่ละวันให้นึกถึงความดี และความโชคดีของตนเอง เริ่มต้นด้วยการตื่นนอนตอนเช้า ให้ยิ้มกับตัวเอง และนึกว่าโชคดีที่ได้ตื่นขึ้นมาแล้ว ให้นึกถึงความดีของตนเอง ที่เคยทำมาแล้วในอดีต (ที่สามารถนึกได้ง่ายๆ) เช่น เคยทำบุญ เคยช่วยคนที่อ่อนแอกว่า เคยสงเคราะห์สัตว์ ฯลฯ คิดว่าตัวเองดี และมีคุณค่าที่ได้เคยทำสิ่งดีๆ และให้นึกซ้ำๆ จะได้เกิดความเชื่อตามที่นึกนั้น คุณก็จะเกิดความอิ่มเอิบใจ และเชื่อว่าตัวเองมีความดี ความเก่ง ตามความเป็นจริงในขณะนั้นด้วย คุณจะเกิดความอยากมีชีวิตอยู่ และสร้างสิ่งที่ดีๆ ให้กับชีวิตต่อไป และต้องอวยพรตัวเองเสมอๆ อย่าแช่ง หรือตำหนิตัวเอง และอย่ารอให้คนอื่นมาชื่นชมคุณ ซึ่งมักจะไม่ได้ดั่งใจ หรือได้มาก็ไม่สมใจ
บันไดขั้นที่ 2 มองคนอื่นดี มองโลกในแง่ดี
ขั้น นี้คุณจะต้องมองว่า ทุกๆ คน มีขีดจำกัดของความสามารถ ความดี ความเก่งกันทุกคน ตามความเป็นจริงของเขา ซึ่งไม่เท่ากัน และไม่เหมือนกันเลย ส่วนความไม่ดี หรือไม่เก่งของเขา (ซึ่งมีกันทุกคน) ปล่อยให้เป็นเรื่องของเขาไป ให้มองเฉพาะส่วนที่ดีของเขาเท่านั้น ถ้าคุณทำได้เช่นนี้ คุณก็จะเป็นคนที่มองอนาคน และชีวิตดี มีความหวังที่ดีในชีวิตตลอดเวลา สองสิ่งนี้ ถ้าคุณทำเป็นนิสัย คุณจะพบว่า โลกนี้มีสิ่งที่ดีๆ และไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคต่างๆ และท้ายที่สุดก็จะกลายเป็นสุขนิยมทั้งชีวิต
บันไดขั้นที่ 3 ทำวันนี้ให้ดีที่สุด
คือ การอยู่กับปัจจุบัน ทำกิจกรรมในวันนี้และเวลานี้ให้ดีที่สุด ทำได้แค่ไหนเอาแค่นั้น ไม่ทุกข์ร้อน หรือคาดหวังกับผลลัพธ์ของมัน ไม่ว่าจะสมใจ หรือไม่สมใจก็ตาม จงชื่นชมในความตั้งใจ ทำเต็มความสามารถของตนเอง และคิดต่อว่า ในอนาคตจะต้องทำให้ดีกว่านี้ นอกจากนั้น คุณต้องเลิกจดจำ หรือนึกถึงเรื่องที่ไม่ดีที่เกิดกับคุณในอดีต เพราะการจดจำเรื่องราวที่ไม่ดีในอดีต เท่ากับคุณไปสะกิดแผลในใจ และจะทำให้คุณเจ็บปวดมากยิ่งขึ้น จนส่งผลให้ปัจจุบันคุณไม่มีความสุข และกลัวว่าอนาคตจะเกิดสิ่งที่ไม่ดีซ้ำๆ อีก
บันไดขั้นที่ 4 มีความหวังและเชื่อว่าอนาคตจะดีเสมอ
ความ หวัง ความเชื่อ เกิดจากความคิดถึงบ่อยๆ หรือได้ยินบ่อยๆ จงนึกและบอกกับตัวเองเสมอว่า อนาคตจะดีขึ้นอีกเรื่อยๆ จะส่งผลให้เกิดกำลังใจมากขึ้น อยากพบเห็นสิ่งต่างๆ ที่จะเข้ามาในชีวิตโดยไม่กลัว มีอารมณ์ขัน และไม่จริงจังกับชีวิตมากนัก แต่จะมีความหวังที่ดีๆ (Good Hope) อยู่เสมอ แต่อย่ามีความคาดหวัง (Expectation) กับชีวิต เพราะถ้าคาดหวังกับชีวิต เรามักจะกลัว หรือกังวลว่าจะไม่ได้ผลลัพธ์ดังความคาดหวัง หรือเมื่อได้มาแล้วก็มักไม่พอใจ จึงอาจทำให้เกิดทุกข์ได้

วันอังคารที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2553

อาหารกลางวัน แบบHealty-Care

อาหารกลางวัน ยุคใหม่

ถ้าคุณเป็น คนที่ช่างสังเกต และชอบตั้งคำถาม จะพบว่า ในโลกนี้ยังมีที่มีทางอีกมากมาย
ให้คุณสร้างโมเดลธุรกิจใหม่ๆ อาจจะเหมือนศูนย์บริการรถยนต์ เมื่อก่อนที่ปิดศูนย์วันเสาร์ อาทิตย์
ทั้งๆ ที่เป็นวันที่เจ้าของรถสะดวกมากที่สุด เพราะเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ แต่เดี๋ยวนี้คุณก็จะเห็นว่า
ไม่ว่าศูนย์ซ่อมรถที่ไหนๆ ก็เปิดวันหยุด ซึ่งเป็นการขยายกลุ่มผู้รับบริการได้มากขึ้น กว่าแต่ก่อน

หรืออย่างตอนที่แมคโดนัลด์ในไทย ที่ยังไงก็สู้คู่แข่งไม่ได้สักที ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
แต่วันนี้ ทันทีที่แมคฯเพิ่มช่องทางการให้บริการ โดยการให้น้ำหนักกับเรื่องดีลิเวอรี่ พร้อมทั้งเปิดบางสาขาเพิ่ม
เป็น 24 ชั่วโมง กลับมีรายได้เพิ่ม โดยแทบจะไม่ต้องขยายสาขา

ที่สำคัญยังพบว่า เวลาที่ลูกค้าเข้ามาใช้บริการมากที่สุดก็คือ
ในช่วงหลังเที่ยงคืนถึงตี 5 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ร้านอื่นๆ ปิดให้บริการ
ถึงตอนนี้ไม่ใช่แค่ได้ลูกค้าเพิ่ม แต่ยังขยายลูกค้า คนขับรถแท็กซี่วันนี้ ดึกดื่นเที่ยงคืนก็ยังจอดกินแมคฯ

ทันทีที่คุณสังเกต ตั้งคำถาม และพยายามหาคำตอบ สิ่งเหล่านี้ ล้วนจะกลายเป็นไอเดียทางธุรกิจ

อย่างในสหรัฐอเมริกาตอนนี้ มีธุรกิจหนึ่งที่กำลังกลายเป็นเทรนด์ใหม่ในโลกธุรกิจ คือ
ธุรกิจบริการส่งอาหารกลางวันให้นักเรียน ถ้าลองมองโดยที่ไม่ทันตั้งข้อสังเกต เราก็คงคิดว่า
เป็นเรื่องยาก ที่จะเข้าไปให้บริการกับนักเรียนในช่วงเวลากลางวัน
เพราะที่โรงอาหารของทุกโรงเรียนต่างก็มีบริการให้กับนักเรียนอยู่แล้ว

แต่ถ้าลองมาลงลึกถึง รายละเอียดที่แต่ละธุรกิจ นำเสนอจะเห็นได้ว่า
สิ่งที่ธุรกิจเหล่านี้ มีเหนือกว่าบริการที่โรงเรียนอยู่คือ การทำให้สินค้าอาหารกลางวันที่ว่านั้น มีมูลค่าเพิ่ม
โดยให้บริการอาหารกลางวัน เพื่อสุขภาพ

ตั้งแต่การปรุงแบบสดใหม่ในเวลาเพียงไม่นานก่อนมื้อกลางวันจะเริ่มต้นขึ้น
ร่วมถึงการใช้ผลิตภัณฑ์ผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ และสารพัดวัตถุดิบ ที่ปลอดสารพิษ
มูลค่าเพิ่มเหล่านี้ กลายเป็นช่องทางที่ทำเงินให้กับธุรกิจได้อย่างสบายๆ

อาหารกลางวัน ยุคใหม่

"เฟรช ลันช์" (Fresh lunches) ธุรกิจบริหารดีลิเวอรี่ อาหารกลางวันสำหรับเด็ก จึงเกิดขึ้นเมื่อ 2 สามีภรรยา
อลัน ราซซาจี และวินนี่ มองเห็นว่าตลอดเวลายาวนานกว่าทศวรรษที่อาหารกลางวันที่ให้บริการในโรงอาหาร
ของโรงเรียนนั้น เป็นเรื่องสยองสำหรับเด็ก ทั้งยังไม่เป็นที่พึงพอใจของผู้ปกครอง
เพราะส่วนใหญ่ เป็นอาหารที่ไม่มีคุณค่าทางโภชนาการ

แนะนำอาหารเช้าเพื่อนสุขภาพสำหรับชาว Healty-Care

  หลักการทานอาหารเช้าอย่างถูกวิธนั้น เป็นสิ่งที่ดีและเป็นกำไรชีวิตอย่างดียิ่ง เนื่องจากหากเรารู้เคล็ดลับแล้ว การทำตามเคล็ดลับ เพื่อนำไปสู่ความสาว สุขภาพดีก่อนใคร ย่อมเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว เพื่อนๆ หลายคนอาจจะยังสงสัยว่าแล้วเราจะต้องทานอะไรล่ะ ถึงจะเรียกว่า รู้เคล็ดลับการทานอาหาร ที่เรียบง่าย แต่ทรงคุณค่า หรือ ได้สมดุลตามที่ร่างกายต้องการ วันนี้ผมก็มีรายการอาหารเช้าเพื่อสุขภาพมาฝากกันครับ 5 อย่างต่อไปนี้คือทางเลือกใหม่สำหรับสาวๆ หรือหนุ่มๆ ที่ไม่มีเวลาทำอาหารเช้า แต่อยากรักษาสุขภาพให้สมดุล

อาหารเช้าเพื่อสุขภาพ


  • ขนมปังปิ้ง อาหารเช้ายอดฮิตที่ใช้เวลาปรุงเพียงแค่ 2 นาทีเท่านั้น แถมยังมีเมนูหลากหลายให้เลือกไม่สิ้นสุด ขนมปังปิ้งกับแยมรสโปรดก็ใช่ ขนมปังปิ้งทาเนยก็ชอบ หรือจะเป็นขนมปังปิ้งจิ้มน้ำผึ้งก็ไม่เลว แต่เพื่อสุขภาพที่ดีมากขึ้นควรเลือกขนมปังโฮลวีทหรือขนมปังธัญพืชเป็นส่วน ประกอบหลัก The American Dietetic Association ให้คำแนะนำว่าใน 1 วันควรรับประทานขนมปังเพื่อสุขภาพอย่างน้อย 3 แผ่น และการรับประทานขนมปังโฮลวีทกับเนยถั่วยังทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่มี ประโยชน์มากขึ้นด้วย
  • ผลไม้สด ผลิตผลจากธรรมชาติที่เปี่ยมไปด้วยไฟเบอร์และวิตามินอันทรงคุณค่า เหมาะกับชั่วโมงเร่งด่วนยามเช้าเป็นอย่างยิ่ง ส้ม 1 ผลให้สารไฟเบอร์ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย 3 กรัม โปรตีน 1 กรัม และพลังงานจำนวน 60 แคลอรี กล้วย 1 ลูกนอกจากจะอุดมไปด้วยไฟเบอร์แล้ว ยังมีธาตุโพแทสเซียมซึ่งจำเป็นต่อการทำงานของแรงดันโลหิตอีก 400 มก. คราวหน้าถ้าคุณสาวๆ บอกกับตัวเองว่า ‘ไม่มีเวลากินอาหารเช้า’ อีกละก็แค่เดินไปเปิดตู้เย็น หยิบแอปเปิลมากัดสักสองสามคำ ร่างกายก็จะได้รับสารไฟเบอร์ไป 4 กรัม และพลังงานอีก 60 แคลอรีเพียวๆ โดยไม่เสียเวลาแต่อย่างใด
  • ซีเรียล แม้จะเป็นอาหารที่ไม่ค่อยได้รับความนิยมมากนัก แต่ซีเรียลก็เป็นอาหารอีกชนิดหนึ่งที่สะดวกและเปี่ยมไปด้วยคุณค่าทาง โภชนาการที่เหมาะกับยามเช้าอันแสนเร่งรีบ แค่รับประทานซีเรียลผสมนมพร่องมันเนยถ้วยเดียวคุณก็ได้รับธาตุไฟเบอร์แบบ เต็มๆ ไปแล้วอย่างน้อย 4 กรัม น้ำตาลอีก 10 กรัม แถมไขมัน 0% อีกต่างหาก

  • เครื่องดื่มจำพวกสมู้ทตี้ อาหารเช้าอันแสนเพอร์เฟคสำหรับสาวที่ไม่ชอบเคี้ยว ถ้าคุณมีเวลาชงกาแฟแล้วละก็ขอแนะนำให้คุณหันมาดื่มเครื่องดื่มจำพวกนี้แทนดี กว่า แค่เอาผลไม้ที่เหลือในตู้เย็นเติมนมไปนิด น้ำแข็งสักก้อนสองก้อนมาปั่นรวมกัน ก็ได้อาหารเพื่อสุขภาพแล้ว แถมยังได้ความสดชื่นเป็นโบนัสยามเช้าอีกด้วย
  • ข้าวโอ๊ต สุดยอดอาหารมหัศจรรย์ที่ใช้เวลาปรุงเพียงแค่ 5 วินาทีเท่านั้น เพียงเติมน้ำร้อนก็พร้อมรับประทาน ข้าวโอ๊ต 1 ซองอุดมไปด้วยธาตุไฟเบอร์ 3 กรัม และให้พลังงาน 150 แคลอรี แถมยังช่วยลดคอเลสเทอรอล และลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจด้วย