วันเสาร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2553

และนี้ห้ามทำเด็จขาดเลยนะเวลาเครียดๆอะ่ อิอิ


5 สิ่งที่ไม่ควรทำยามเครียด

สิ่งที่ไม่ควรทำยามเครียด
          อ่านหนังสือสุขภาพเล่มหนึ่ง ทำให้ทราบว่า เมื่อเวลาทีเราเกิดอารมณ์เครียด เครียดเรื่องงาน เรื่องเพื่อน หรืออะไรก็ตาม เรามักหากิจกรรมบางอย่างทำ แต่ทำไปแล้ว กลับยิ่งเครียดกว่าเก่า และอาจส่งผลร้ายต่อตัวเราได้ ดังนั้น จึงมีวิธีหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ไม่ควรทำยามเครียด ดังนี้
1. ฟังเพลงร็อคดัง ๆ  เพราะเพลงร็อคทำให้จังหวะของหัวใจเต้นแรงกว่าธรรมดาอยู่แล้ว หากกำลังเครียดแล้วมาเจอจังหวะเพลงกระตุกหัวใจและแสบแก้วหูคิดดูซิว่าจะยิ่งเครียดหูดับ ตับไหม้ขนาดไหน
2. อาละวาดใส่คนรอบตัว  เคยไหมว่ายิ่งอาละวาดปล่อยความโกรธออกมา ยิ่งรู้สึกโกรธ  ยิ่งถ้าแสดงอาการหน้าบูดหน้าเบี้ยว พูดจาห้วน ๆ ใส่คนรอบข้าง จะมีปฏิกิริยาทางลบกลับมาทันที  ยิ่งทำให้อารมณ์เราเสียมากขึ้น แถมยังไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นมา  และยังเป็นการสร้างศัตรูขึ้นมาอีก ทางที่ดีถ้ารู้สึกจิตใจไม่รับแขก ก็ควรปลีกวิเวกไปสงบใจคนเดียวจนกว่าอารมณ์จะดีขึ้น เพื่อความปลอดภัยในชีวิต ทรัพย์สิน และมิตรภาพของตัวคุณเองนะคะ
3. ดื่มกาแฟแก้เครียด  ถ้าแก้วเดียวแบบจาง ๆ ก็พอไหวคะ  แต่อย่าชดกาแฟแทนน้ำเปล่าเป็นอันขาด เพราะคาเฟอีนไม่ใช้น้ำหวาน เมื่อดื่มเข้าไปมักจะไปกระตุ้นให้หัวใจเต้นแรง  อะดรีนาลีนฉีดพล่าน มือไม้สั่น สมองปั่นป่วน แย่กว่าเก่าแน่ แน่
4. ชวนเพื่อนไปดื่ม  แอลกอฮอล์ แปลว่า  เหล้า  เมื่อดื่มเข้าไปก็ต้องเมาเป็นธรรมดา  ตอนที่กำลังมันส์ฮา อยู่กับเพื่อน ๆ อาจหายเครียดก็จริง  แต่ในวันรุ่งขึ้นจะรู้สึกปวดหัว  มึนงง  ปากแห้ง  และคิดอะไรไม่ออกทั้งวัน  ยิ่งถ้าหนักหน่อยอาจจะมีเพื่อนเป็นโถส้วมอาเจียนจนหมดกระเพาะ  และตื่นขึ้นมาในสภาพศพเดินได้  แค่ลองคิดก็เครียดแล้วนะเนี่ย
5. สุดท้าย โทรศัพท์คุยกับแฟน  เวลาเครียด อาจอยากได้คำปลอบใจจากแฟน  แต่ความเครียดมักจะบงการให้เราลืมประดิษฐ์ประดอยถ้อยคำให้รื่นหู  เลยกลายเป็นว่าเอาความเครียดไประบายใส่คนรัก จนกลายเป็นทะเลาะกัน  แทนที่จะเครียดเรื่องงาน เลยต้องมานั่ง

โอ้ยๆๆงานเยอะเรื่องแยะ เครียดๆๆ หาไรทำดีน๊า

วิธีปฏิบัติ เพื่อช่วยคลายเครียดในการทำงาน

การออกกำลังกาย

               ถ้ารู้สึกเครียดจากการทำงาน การออกกำลังกายจนเหนื่อย และมีเหงื่อออก จะช่วยให้รู้สึกดีขึ้นได้ เพราะขณะออกกำลังกาย ร่างกายจะได้รับออกซิเจนมากขึ้น การไหลเวียนของโลหิตดีขึ้น
 สมองได้หยุดคิด เรื่องที่เครียดชั่วคราว และภายหลังการออกกำลังแล้ว ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนแห่งความสุขออกมา ทำให้รู้สึกสบาย หายเครียด
               
การออกกำลังกาย อาจเป็นเรื่องที่น่าเบื่อสำหรับหลายๆ คน เพราะอาจจะต้องเสียค่าใช้จ่าย และเสียเวลาพอสมควร แต่เมื่อคิดถึงผลดีของการออกกำลังกาย ที่จะทำให้ร่างกายกระฉับกระเฉง จิตใจสดชื่นแจ่มใส หายเครียดแล้ว ก็ควรที่จะยอมลงทุน และใช้เวลา ในการออกกำลังกายบ้าง ทั้งนี้อาจเลือกการออกกำลังกาย ที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย และเวลามากนักก็ได้ เช่น การเดินเร็ว การวิ่งจ๊อกกิ้ง การฝึกโยคะ การรำมวยจีน การเต้นแอโรบิค เป็นต้น
               ถ้าอยากให้การออกกำลังกาย มีความสนุกสนาน เพลิดเพลินมากขึ้น 
ควรออกกำลังกาย หรือเล่นกีฬา ร่วมกับกลุ่มเพื่อน เช่น ตั้งวงเตะตะกร้อ เล่นฟุตบอล บาสเก็ตบอล เต้นแอโรบิค รำมวยจีน กับเพื่อนๆ ในตอนเย็นหลังเลิกงาน หรือไปตีแบดมินตัน ตีเทนนิส เล่นกอล์ฟกับกลุ่มเพื่อน ในวันหยุดก็ได้ แต่ทั้งนี้ จะต้องไม่แข่งขันกัน อย่างเอาเป็นเอาตาย เพราะจะทำให้กลับเครียดขึ้นมาอีก
               การออกกำลังกายหรือเล่นกีฬากับเพื่อนๆ นอกจากจะทำให้เกิดความสนุกสนานแล้ว ยังถือเป็นการใช้เวลาสร้างความสัมพันธ์ อันดีต่อกันด้วย 
หลายๆ คนอาจใช้เวลาหลังเลิกงาน ขณะเล่นกีฬา ปรึกษาการงานกันไปด้วย หรือไม่ก็แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ในเรื่องต่างๆ ช่วยให้ได้ประโยชน์ เพราะเรื่องบางเรื่อง คุยกันนอกเวลางาน อาจจะได้ผลดีกว่าในเวลางานก็ได้
               ถ้ารู้สึกเครียดในขณะทำงาน อาจใช้การออกกำลังกาย แบบช่วงสั้นๆ ช่วยผ่อนคลายความเครียดได้ เช่น การเปลี่ยนอิริยาบถ การยืดเส้นยืดสาย การเดินขึ้นลงบันได ฯลฯ การใช้แรงกายสลับกับการใช้สมอง จะช่วยผ่อนคลายความเครียดได้ อย่าอยู่นิ่งเฉย ปล่อยให้ตนเองเครียดมากจนเกินไป เพราะจะทำให้เกิดผลเสียตามมา เช่น มีอาการผิดปกติทางกาย มีอาการเจ็บป่วยต่างๆ สมองตื้อ คิดอะไรไม่ออก ทำงานผิดพลาด หรืออารมณ์เสีย ทำให้ขัดแย้งกับผู้ร่วมงาน เป็นการสร้างปัญหาใหม่ ให้เครียดมากไปกว่าเก่า
               ส่วนวิธีการออกกำลังกายนั้น สามารถเลือกได้มากมาย หลายอย่างตามถนัด แต่ถ้ายังไม่รู้ว่า จะเลือกออกกำลังกายแบบใดดี อาจทดลองหัดเล่นกับเพื่อนๆ ไปก่อน หรืออาจสมัครเข้าชมรม หรือสถานที่สอนการออกกำลังกาย ที่ตนเองสนใจ ซึ่งมีผู้ฝึกสอน ที่เชี่ยวชาญโดยเฉพาะ เช่น การฝึกโยคะ ว่ายน้ำ รำมวยจีน ชี่กง การใช้ไม้พลอง ฯลฯ จะทำให้ฝึกได้ถูกวิธี หรืออาจจะซื้อหนังสือตำรามาอ่าน และฝึกเองก็ได้
               ในวันหยุดงาน ถ้าอยู่บ้านว่างๆ แล้วยังรู้สึกเครียด 
การทำงานบ้านให้เหนื่อย จนได้เหงื่อ เช่น การล้างห้องน้ำ ล้างรถ ถูบ้าน ฯลฯ ก็จะช่วยลดความเครียด จากการคิดฟุ้งซ่านลงได้ และเมื่อทำงานบ้านเสร็จ ก็จะรู้สึกสบายใจ และภูมิใจที่ได้งาน ดีกว่าอยู่เปล่าๆ ด้วย
การพักผ่อนหย่อนใจ

               เมื่อรู้สึกเครียด 
หลังเลิกงานแล้ว ควรทำกิจกรรมอื่น เพื่อเป็นการพักผ่อนหย่อนใจ เช่น เล่นกับสัตว์เลี้ยง ฟังเพลง ดูโทรทัศน์ อ่านหนังสืออ่านเล่น ปลูกต้นไม้ ไปช็อปปิ้ง ไปดูภาพยนตร์ หรือทำอะไรก็ได้ที่ใจชอบ ทำแล้วเพลิดเพลินมีความสุข การที่คนเราพักผ่อนหย่อนใจหลังการทำงาน ไม่ได้แสดงว่า เป็นคนเกียจคร้าน หรือรักสนุก แต่ถือเป็นการพักสมอง และเติมพลังให้ชีวิต ทำให้พร้อม ที่จะกลับไปทำงานอย่างสดชื่นอีกครั้งหนึ่ง                กิจกรรมเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจ มีมากมายหลายอย่าง ควรเลือกที่ถูกใจ ทำแล้วรู้สึกผ่อนคลาย และควรเลือกกิจกรรม ที่ตรงข้ามกับงานประจำที่ทำอยู่ เช่น งานประจำต้องนั่งโต๊ะตลอดวัน ยามว่างควรทำกิจกรรม ที่ได้เคลื่อนไหวร่างกาย เช่น เล่นกีฬา เดินช้อปปิ้ง ฝึกเต้นรำ เป็นต้น ถ้างานประจำค่อนข้างซ้ำซากจำเจ ยามว่างควรทำกิจกรรมที่สนุกสนาน เช่น สังสรรค์กับเพื่อนฝูง ไปเที่ยวชายหาด ล่องเรือ เที่ยวชมป่าเขา เป็นต้น ถ้างานประจำ ต้องให้บริการอำนวยความสะดวกสบายแก่ผู้อื่น ยามว่างควรไปให้ผู้อื่นบริการบ้าง เช่น ไปเสริมสวย ตัดผม นวดตัว ไปรับประทานอาหารนอกบ้าน ฯลฯ จะเป็นการชดเชย ทำให้ชีวิตสมดุลขึ้น
               ยอมเสียเวลา เสียเงินเสียทอง เพื่อแลกกับความสุขทางใจ จากการพักผ่อนหย่อนใจบ้าง เพราะมันจะได้ผลคุ้มค่า นั่นคือเมื่อกลับมาทำงานใหม่ จะทำให้รู้สึกสดชื่น มีความกระตือรือร้น ในการทำงานมากขึ้น ความคิดปลอดโปร่งขึ้น สามารถทำงานได้ดีขึ้น และพร้อมจะเผชิญกับปัญหาต่างๆ ได้ดีขึ้นด้วย
               อย่าลืมว่า
เครื่องจักรยัง ต้องมีเวลาหยุดพัก ต้องมีการดูแลซ่อมบำรุง เพื่อไม่ให้สึกหรอ หรือเสื่อมสภาพเร็วเกินไป คนเราก็เช่นกัน หลังจากทำงานหนักในแต่ละวันแล้ว ควรให้โอกาสตัวเองได้พักผ่อนหย่อนใจบ้าง ชีวิตจะได้ไม่เครียดจนเกินไป
การพูดอย่างสร้างสรรค์

               
ลองคิดดูว่า ถ้าในการทำงานแต่ละวัน ต้องได้ยินได้ฟังแต่เสียงบ่น ได้ฟังแต่คำพูดที่ตำหนิติเตียน คำพูดในแง่ร้าย คำพูดที่ไม่เป็นมิตร คำพูดที่เต็มไปด้วยอารมณ์รุนแรง ชีวิตการทำงานของเราจะเป็นอย่างไร คงเครียดและหดหู่ใจ คับแค้นใจ ไม่อยากจะทำงานในที่นั้น อีกต่อไปอย่างแน่นอน
               ดังนั้น จึงควรให้ความสำคัญ กับการพูดจากันให้มาก ลองมาฝึกการพูดจากันด้วยดี ซึ่ง
แม้จะฝืนความเคยชินไปบ้าง แต่ก็จะเป็นประโยชน์ ช่วยสร้างบรรยากาศที่ดีในการทำงาน และช่วยให้ความสัมพันธ์ในระหว่างผู้ร่วมงานดีขึ้น
               ควรหมั่นพูดคำว่า 
สวัสดี ไม่เป็นไร ขอโทษ และขอบคุณ ให้ติดปาก จะช่วยทำให้จิตใจผู้พูดอ่อนโยนลง และผู้ฟังก็สบายใจด้วย
               การทักทายกันด้วยคำว่า 
สวัสดี พร้อมทั้งยิ้มให้กันอย่างจริงใจ หรือยกมือไหว้ทักทายกัน จะแสดงถึง ความมีอัธยาศัยไมตรี แสดงความเป็นมิตร ความมีมารยาท ช่วยสร้างบรรยากาศ ที่อบอุ่นระหว่างกัน โดยไม่ต้องเสียเงินลงทุนเลย
               การพูดว่า 
ไม่เป็นไร แสดงถึงการให้อภัย ไม่ถือโทษโกรธเคือง ผู้พูดจะรู้สึกสบายใจ เพราะได้ให้อภัยไปแล้ว ส่วนผู้ฟังก็จะรู้สึกดีด้วย ที่อีกฝ่ายไม่ถือโทษโกรธเคือง
               การกล่าวคำ
ขอโทษ แสดงถึงการยอมรับผิด การอ่อนน้อมถ่อมตน แม้จะเป็นผู้ใหญ่ แต่ถ้าทำผิด ก็ควรขอโทษผู้น้อยได้เช่นกัน คำขอโทษจะทำให้อีกฝ่ายลดความรู้สึกโกรธเคืองลง ช่วยให้บรรยากาศ ที่กำลังตึงเครียดดีขึ้นได้
               สำหรับคำว่า
ขอบคุณ เป็นการแสดงออกถึง ความรู้สึกสำนึกในน้ำใจ หรือเห็นคุณค่า ในการกระทำของอีกฝ่าย ทำให้ผู้ฟังรู้สึกชื่นใจ ดีใจ และอยากจะทำดีเช่นนั้น ต่อไปอีกเรื่อยๆ
               นอกจากคำพูดเหล่านี้แล้ว 
การพูดในเชิงสร้างสรรค์ ชมเชย ให้กำลังใจ ไต่ถามทุกข์สุขของกันและกันอยู่เสมอ รู้จักพูดจายกย่องชื่นชมผู้อื่น อย่างจริงใจ หลีกเลี่ยงการนินทา กล่าวโทษ หรือกล่าวถึงความไม่ดีของผู้อื่น และการพูดแบบประนีประนอม ในฐานะคนกลางที่ช่วย ประสานความเข้าใจระหว่างสองฝ่าย จะช่วยให้ผู้ร่วมงานชอบเรา และไว้วางใจเรา
               สำหรับ
ผู้ที่ชอบน้อยใจว่า ไม่มีใครเข้าใจ หรือมักจะหงุดหงิด อารมณ์เสีย ที่ผู้ร่วมงานทำไม่ถูกใจ ควรฝึกที่จะพูดถึงความต้องการในใจออกมา เช่น ถ้าต้องการให้ใครทำอะไร ควรบอกไปตามตรง โดยใช้วิธีขอร้อง ขอความช่วยเหลือดีๆ จะทำให้ผู้ร่วมงานรู้ถึงความต้องการ และสามารถตอบสนองได้ถูกต้อง อย่าปล่อยให้ผู้อื่น ต้องคอยเดาใจอยู่ตลอดเวลา เพราะไม่มีใคร ที่จะรู้ใจใครไปเสียทุกเรื่อง แม้จะสนิทกันมากเพียงใดก็ตาม
               
ในกรณีที่เกิดความขัดแย้งกับผู้ร่วมงาน ถ้ายังอารมณ์ไม่ดี ควรสงบปากสงบคำ อย่าเพิ่งพูด หรือทำอะไรออกไป เพราะอาจจะทำให้ เรื่องราวลุกลามใหญ่โต หรืออาจจะต้องเสียใจในภายหลัง ควรหลบหน้ากันไปสักพัก รอให้อารมณ์ดีขึ้นก่อน จึงค่อยกลับมาพูดจากันใหม่ ด้วยเหตุด้วยผล ถ้ายังตกลงกันไม่ได้ ควรหาคนกลาง ที่ทั้งสองฝ่ายเชื่อถือมาไกล่เกลี่ย หรือถ้าเป็นเรื่องที่กระทบกระเทือน ถึงคนหลายคน ควรมีการประชุม และให้ผู้เกี่ยวข้องช่วยตัดสินใจ หรือไม่อาจจะต้องอาศัยกฎ ระเบียบของหน่วยงาน หรือใช้กฎหมาย มาเป็นตัวช่วยตัดสินใจ
               ถ้าสามารถปรับปรุงการพูดให้ดีขึ้นได้ นอกจากจะช่วยพัฒนาตัวเองให
้มีเสน่ห์ เป็นที่ชื่นชอบของผู้ร่วมงานแล้ว ยังช่วยเสริมสร้างบรรยากาศ สร้างมิตรภาพในที่ทำงานให้ดีขึ้น ทำให้มีความเครียดในการทำงานน้อยลงด้วย
การแสดงอารมณ์อย่างเหมาะสม

               ความเครียดในการทำงาน เกิดได้ทั้งจาก
การเก็บกดอารมณ์ที่ไม่ดีเอาไว้ และเกิดจากการระบายอารมณ์ อย่างไม่เหมาะสมด้วย ดังนั้นการรู้จักแสดงอารมณ์ออกมา อย่างเหมาะสม จึงเป็นเรื่องจำเป็น นอกจากจะช่วยลดความเครียดลงแล้ว ยังช่วยให้ความสัมพันธ์กับผู้อื่นดีขึ้นด้วย
               ก่อนอื่น ควรจะต้องรู้ตัวว่ากำลังมีอารมณ์อะไรอยู่ เป็นอารมณ์ที่ดีหรือไม่ดี โดยควรฝึกตัวเอง 
ให้สังเกตอารมณ์ที่เกิดขึ้น ก่อนที่จะแสดงอะไรออกไปเสมอ ไม่ใช่ทำอะไรตามอารมณ์ โดยไม่ยั้งคิด แล้วต้องมาเสียใจในภายหลัง
               ถ้าอารมณ์ดีก็ควรแสดงออกในทางที่ดี เช่น ยิ้มแย้ม หัวเราะ ฮัมเพลง พูดจาหยอกล้อกับผู้ร่วมงาน และควรพยายามรักษาอารมณ์ที่ดีอย่างนี้ ไว้ให้ได้นาน ๆ ด้วย
               ถ้าอารมณ์ไม่ดี ก็ต้องยอมรับว่า คนเราย่อมมีอารมณ์ที่ไม่ดีกันได้เสมอ และไม่ควรเก็บกดอารมณ์ที่ไม่ดีเอาไว้ เพราะจะทำให้เครียด ควรแสดงออกอย่างเหมาะสม อย่าทำอะไรหุนหันพลันแล่น 
ควรไตร่ตรองถึง ผลที่จะตามมาอยู่เสมอ เช่น ถ้าก่อเรื่องทะเลาะวิวาทกับผู้ร่วมงาน อาจถูกไล่ออกจากงาน หรือถ้าทำร้ายร่างกายเขา ก็อาจถูกเขาทำร้ายตอบ หรืออาจติดคุก ทำให้ต้องเสียอนาคต ด้วยเรื่องที่ไม่ยอมอ่อนข้อให้แก่กัน เพียงเล็กน้อยเท่านั้นเอง
               ความจริง เรื่องที่คนเราทะเลาะกัน ขัดแย้งกันนั้น ส่วนใหญ่มาจากการที่ ต่างคนต่างพยายาม ที่จะรักษา
ศักดิ์ศรีของตน กลัวถูกหมิ่นศักดิ์ศรี กลัวเสียหน้าถ้าจะต้องยอมแพ้ หรือยอมตามความคิดเห็นของผู้อื่น ถึงตรงนี้ คงต้องมาพิจารณากันใหม่ว่า ศักดิ์ศรีคืออะไร ศักดิ์ศรีคือ การดึงดันเพื่อเอาชนะคนอื่นให้ได้ หรือศักดิ์ศรีคือการให้เกียรติซึ่งกันและกัน และให้ความร่วมมือกัน เพื่อจะได้บรรลุเป้าหมาย ในการทำงานร่วมกันกันแน่
               หากอารมณ์เสียมาจากที่อื่น หรือจากบุคคลอื่น ควรพยายามหักห้ามใจ ควบคุมอารมณ์เอาไว้ อย่าไประบายกับอีกคนหนึ่ง ที่ไม่รู้เรื่องด้วย เพราะจะเป็นการสร้างความขัดแย้ง และสร้างความเข้าใจผิดต่อกัน ทำให้ความเครียด ขยายวงกว้างออกไปเรื่อยๆ ควรเปลี่ยนเป็นการพูดระบายความคับข้องใจ และขอความเห็นใจ ขอกำลังใจจากคนใกล้ชิดจะดีกว่า
               ควรคิดเสมอว่า
ต้องการแสดงออก เพื่อให้เกิดผลอะไร เช่น ถ้าโกรธผู้ร่วมงานแล้วอยากให้เขาขอโทษ ก็ควรบอกให้อีกฝ่ายรู้ตัวว่า การกระทำของเขาทำให้เราไม่พอใจ เพราะบางครั้งเขาอาจไม่เจตนา หรือไม่รู้ตัวก็ได้ว่าเขาเป็นต้นเหตุทำให้เราโกรธ การพูดการบอกกันดี ๆ แบบนี้จะทำให้อีกฝ่ายยอมรับได้ มากกว่าการใช้อารมณ์เกรี้ยวกราด ด่าว่า หรือแสดงกิริยากระแทกกระทั้นออกไป เพราะจะทำให้อีกฝ่ายโกรธตอบ และเรื่องที่ควรจบลงง่าย ๆ อาจกลับกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โตก็ได้
               ในบางสถานการณ์ อาจไม่อำนวยให้พูดตรง ๆ กับอีกฝ่ายได้ในทันที เนื่องจากเขามีอาวุโสมากกว่า หรือเป็นเจ้านาย และกำลังอยู่ในอารมณ์ที่ไม่ดี กำลังเร่งรีบ ไม่พร้อมที่จะรับฟัง ก็อาจจะต้องเก็บความรู้สึกของเรา 
มาระบายหรือปรึกษากับเพื่อนสนิท หรือคนใกล้ชิดที่บ้านแทนไปก่อน จะช่วยลดความกดดันในใจลงได้ หลังจากนั้นให้รอจังหวะที่เจ้านายอารมณ์ดี พร้อมที่จะรับฟังคำชี้แจง จึงค่อยเข้าไปพูดจาทำความเข้าใจกัน
               
ถ้ารู้สึกโกรธมากจนอยากทำร้ายผู้อื่น หรืออยากทำลายข้าวของ ให้พยายามระงับอารมณ์ โดยการหายใจเข้าลึก ๆ หายใจออกช้า ๆ สัก 4-5 ครั้ง หรือหลบออกจากสถานการณ์นั้นไปก่อน และอาจระบายอารมณ์ที่ไม่ดี โดยการออกกำลังกายให้ได้เหงื่อ จะช่วยลดระดับความรุนแรงของอารมณ์ลงได้
               ทั้งนี้ ต้องคอยเตือนตัวเองด้วย ว่าอย่าโกรธบ่อย เพราะความโกรธจะทำลายสุขภาพ ทำให้หัวใจเต้นเร็ว ชีพจรเต้นเร็ว ความดันโลหิตสูง ทำให้หน้าตาบูดบึ้ง ไม่น่ามอง 
ความโกรธจึงเป็นการทำร้ายตัวเอง ไม่ใช่ทำร้ายคนที่เราโกรธ ดังนั้น จึงควรพยามยามให้อภัยผู้อื่นอยู่เสมอ หัดปล่อยวาง ไม่จับผิด ไม่คิดมาก จะช่วยลดความโกรธให้น้อยลงได้
               ถ้ารู้สึกเศร้าเสียใจ อยากร้องไห้ ก็ควรร้องออกมา ไม่ว่าผู้หญิงหรือผู้ชาย เด็กหรือผู้ใหญ่ 
ทุกคนต่างก็มีสิทธิ ที่จะร้องไห้ด้วยกันทั้งนั้น แต่ถ้าอายที่จะให้ผู้อื่นเห็นน้ำตา ก็ควรหลบไปร้องไห้ตามลำพัง น้ำตา จะช่วยพาความทุกข์ในใจออกมา ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย หลังร้องไห้แล้วจะรู้สึกสบายใจขึ้น
               หมั่นสังเกตตัวเอง และรู้ตัวอยู่เสมอว่ากำลังอยู่ในอารมณ์ใด และ
ให้คิดก่อนเสมอว่า ควรจะแสดงออกอย่างไร จึงจะเหมาะสม และได้รับผลตามที่ต้องการ ถ้าทำได้ความ เครียดก็จะค่อย ๆ ลดลง และความสัมพันธ์กับผู้ร่วมงาน ก็จะดีขึ้นด้วย
การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้ร่วมงาน

               ความเครียด ส่วนหนึ่งเกิดจากการขาดความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้ร่วมงาน ทำให้รู้สึกโดดเดี่ยว รู้สึกว่าไม่มีใครเป็นมิตร มีแต่ศัตรูหรือคู่แข่ง รู้สึกว่าไม่มีใครเข้าใจ ไม่มีใครช่วยเหลือ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเวลาที่มีปัญหา และไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้
               ดังนั้น การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้ร่วมงาน จึงเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะ
เมื่อมีความสัมพันธ์ที่ดีเกิดขึ้นแล้ว จะช่วยให้เกิดความรู้สึกอบอุ่น มั่นคง มีกำลังใจ และสนุกสนานกับการทำงานมากขึ้น ช่วยให้ความเครียดลดลงได้มาก
               ผู้ร่วมงานในที่นี้ ได้แก่ ผู้บังคับบัญชา เพื่อนร่วมงาน และผู้ใต้บังคับบัญชา ตลอดจนผู้มารับบริการ หรือมาติดต่อกับหน่วยงานของเราด้วย ซึ่งหลักการปฏิบัติต่อบุคคลเหล่านี้ มีดังนี้
               กับ
ผู้บังคับบัญชา เราต้องยอมรับว่า เขามีความสามารถ มีคุณสมบัติที่เหมาะสมกว่าเรา อย่างน้อย ก็ได้รับการพิจารณาคัดเลือกมาแล้ว จากผู้ที่เหนือกว่าขึ้นไปอีก จึงได้มาเป็นเจ้านายของเรา มีตำแหน่งเหนือเรา และมีอำนาจที่จะชี้อนาคต กำหนดความก้าวหน้าในการทำงานของเราได้ เราจึงควรให้เกียรติ ยกย่อง มีสัมมาคารวะ ตั้งใจปฏิบัติงาน ตามที่ได้รับมอบหมาย รวมทั้งมีน้ำใจในเรื่องส่วนตัวเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วย บางครั้งแม้จะรู้สึกไม่พอใจเจ้านายอยู่บ้าง ก็ควรจะอดทน เก็บความรู้สึกที่ไม่ดี มาระบายกับคนใกล้ชิดที่บ้านจะดีกว่า ยกเว้นเรื่องสำคัญที่จะเกิดความเสียหายต่องาน หรือหน่วยงาน ก็ควรปฏิบัติตามระเบียบขั้นตอนของหน่วยงาน เพื่อแก้ปัญหาต่อไป
               กับ
เพื่อนร่วมงาน เราต้องสร้างความสนิทสนม ด้วยการใส่ใจ ให้ความสำคัญ จดจำรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย เกี่ยวกับตัวเขาและครอบครัว มีของขวัญของฝากให้ ตามโอกาสอันควร ผลัดกันเลี้ยงอาหารกลางวันบ้าง ชวนไปเที่ยวบ้านหรือไปเที่ยวด้วยกัน ในวันหยุดบ้าง ชวนพูดคุยหรือชักชวนกันทำกิจกรรมที่สนใจร่วมกัน เมื่อเขาได้ดีต้องแสดงความยินดีด้วย และเมื่อเขาลำบาก ก็ต้องรีบให้ความช่วยเหลือ ยินดีให้ความร่วมมือในการทำงาน ไม่เกี่ยงงาน การมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนร่วมงาน จะช่วยให้เราทำงานอย่างมีความสุข แม้บางครั้งจะเครียด แต่ก็จะมีเพื่อนคอยให้กำลังใจ คอยเป็นที่ปรึกษา และคอยให้ความช่วยเหลืออยู่เสมอ
               กับ
ผู้ใต้บังคับบัญชา เราต้องคอยดูแลทุกข์สุข ปฏิบัติต่อพวกเขา เหมือนอย่างที่เราต้องการให้เจ้านายปฏิบัติต่อเรา เช่น ให้ความเป็นธรรม สอนงานให้อย่างใจเย็น พูดจาน่าฟัง ชมเชยให้กำลังใจ ส่งเสริมให้ก้าวหน้าในหน้าที่การงาน รับฟังความคิดเห็น ช่วยแก้ไขปัญหาต่างๆ ทำตัวเป็นตัวอย่างที่ดี ทั้งในการทำงานและเรื่องส่วนตัว เป็นต้น การมีลูกน้องที่ดีจะช่วยให้การทำงานเป็นไปอย่างราบรื่น และสำเร็จลงได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยไม่มีเรื่องจุกจิกกวนใจ ให้เกิดความเครียด
               การจะรักษาความสัมพันธ์กับผู้ร่วมงาน ให้ยืนยาวได้นั้น 
ต้องพยายามเข้าใจจิตใจ และการกระทำของเขา และยอมรับในตัวของเขา ซึ่งย่อมมีความแตกต่างจากเรา สิ่งใดที่ไม่ถูกใจเรา ถ้าให้อภัยได้ก็ควรอภัย อย่าไปถือสา คิดเสียว่า ตัวเราเองก็ยังมีข้อบกพร่อง และเคยทำไม่ถูกใจเขาเหมือนกัน การพยายามทำความเข้าใจกัน ไม่จับผิด ไม่ถือโทษโกรธเคืองกัน จะช่วยป้องกันความเครียดได้
               นอกจากนี้ 
ความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนยังขึ้น อยู่กับความเสมอต้นเสมอปลายด้วย เคยดีต่อกันอย่างไร ก็ต้องดีอย่างนั้นตลอดไป ไม่เปลี่ยนแปลงตามเวลา หรือยศศักดิ์ที่สูงขึ้น ไม่เช่นนั้นความสัมพันธ์อันดี ที่เพียรพยายามสร้างมาเป็นเวลานาน ก็เท่ากับเป็นการไม่จริงใจต่อกัน และจะหมดความสำคัญไปในทันที
               ในด้าน
ผู้มารับบริการ ลูกค้า หรือผู้มาติดต่อ ควรปฏิบัติต่อพวกเขาด้วยดี ในฐานะแขก หรือผู้มีอุปการคุณ ถ้างานของเราเป็นงานบริการ หรืองานค้าขาย หน้าที่หลักของเราก็คือการให้บริการ จะต้องเอาใจใส่ ดูแลลูกค้าให้ดีที่สุด ทำให้พวกเขารู้สึกพอใจ รู้สึกว่าเป็นบุคคลสำคัญ และอยากกลับมาใช้บริการอีก ควรแสดงความกระตือรือร้น และใส่ใจที่จะให้บริการ อย่างรวดเร็วและถูกต้อง ตรงตามความต้องการ แม้ผู้รับบริการบางราย จะจู้จี้ เอาแต่ใจ และก่อปัญหาให้เป็นอย่างมาก ก็ต้องอดทน คิดเสียว่า เป็นการทดสอบความเข็มแข็งของจิตใจ ให้คิดถึงผลดีผลเสียที่จะตามมา เช่น ถ้าทะเลาะกับลูกค้า ทำให้ลูกค้าโกรธ เราอาจถูกร้องเรียน ถูกลงโทษ หรือถูกไล่ออก แต่ถ้าพยายามอดกลั้นไว้ ก็จะไม่มีเรื่อง ให้บริการเสร็จแล้วก็แล้วกันไป ถ้ายังรู้สึกไม่สบายใจอยู่อีกก็ควรพูดระบายกับเพื่อน หรือคนใกล้ชิดในครอบครัว หรือไม่ก็ไปออกกำลังกายเสียบ้าง ก็จะช่วยคลายเครียดได้
               นอกจากผู้ร่วมงาน และผู้รับบริการแล้ว 
เราควรสร้างความสัมพันธ์ที่ดี กับคนนอกวงการทำงานของเราด้วย จะช่วยขยายวงสังคม ขยายเครือข่าย เพิ่มประสบการณ์ และได้แนวคิดใหม่ ๆ ที่กว้างขวางขึ้น นอกจากนี้ การได้พบเห็นชีวิตการทำงาน ในหลากหลายรูปแบบ จะทำให้ได้รับรู้ปัญหาที่แตกต่างกันออกไป อาจช่วยให้ได้แนวทางแก้ปัญหาของเรา หรืออย่างน้อย ก็ไม่ต้องเครียด เพราะมัวแต่หมกมุ่นกับปัญหาของตัวเอง จนมากเกินไปด้วย
การบริหารเวลา

               การที่รู้สึกว่ามีเวลาไม่พอ ทำงานเสร็จไม่ทันเวลาบ่อยๆ ต้องทำงานอย่างรีบเร่ง แข่งกับเวลาอยู่เป็นประจำ หรือรู้สึกว่างานมาก จนไม่มีเวลา สำหรับการพักผ่อนหย่อนใจ ไม่มีเวลาให้ครอบครัว ล้วนเป็นสาเหตุ ที่ทำให้เกิดความเครียดทั้งนั้น
               จำเป็นที่จะต้องหาวิธีบริหารเวลา เพื่อจัดเวลาในการทำงาน ให้มีประสิทธิภาพ สามารถทำงานได้เสร็จทันเวลา อย่างที่ไม่ต้องรีบเร่งมากนัก และยังมีเวลาเหลือพอที่จะพักผ่อนหย่อนใจส่วนตัว มีเวลาให้กับเพื่อนฝูง และครอบครัวอีกด้วย
               การบริหารเวลา ควรเริ่มต้นจากการสำรวจตัวเองก่อนว่า ในแต่ละวันนั้น ได้ใช้เวลาในการทำกิจกรรมอะไรบ้าง โดยการ
จดบันทึกเวลา และการทำกิจกรรมต่างๆ ในแต่ละวัน ติดต่อกันประมาณ 3 วัน แล้วลองคำนวณดูว่า ได้ใช้เวลาไปกี่ชั่วโมงกับการนอน การกิน การทำงาน การเดินทาง การออกกำลังกาย การอยู่คนเดียวเงียบๆ การใช้เวลาสังสรรค์กับเพื่อนฝูง และการใช้เวลาอยู่กับครอบครัว
               ลองพิจารณาดูว่า เวลาที่ใช้ในการทำกิจกรรมเหล่านี้ สมดุลแล้วหรือยัง 
ได้เสียเวลาไป กับเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องมากน้อยแค่ไหน และบ่อยแค่ไหน ที่คิดจะทำอะไรแล้วก็รีรอ ผัดผ่อนไปทำอย่างอื่นก่อน งานที่ควรจะเสร็จจึงไม่เสร็จเสียที ควรจะต้องปรับปรุงเวลาในเรื่องใด ให้มากขึ้น หรือน้อยลง
               ในแต่ละวัน จะมีเวลาสำหรับการทำงาน ประมาณ 6-8 ชั่วโมง จึงควรตั้งใจทำงานให้เต็มที่ โดยวางแผนการทำงานล่วงหน้าว่า ในวันนั้นจะต้องทำอะไรบ้าง จัดลำดับความสำคัญของงาน 
เลือกทำงานที่สำคัญ และเร่งด่วนก่อน ทำงานที่คิดว่ายากก่อนในช่วงเช้า เพราะเป็นช่วงที่ร่างกายยังสดชื่น
               รู้จักแบ่งงานชิ้นใหญ่ให้เป็นชิ้นย่อย ๆ ถ้าเป็นหัวหน้างาน ควรแบ่งงานให้ลูกน้อง หรือผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง รับไปทำอย่างเท่าเทียมกัน เพื่อความยุติธรรม และ
อย่าหวงงาน อย่าคิดว่าคนอื่นจะทำไม่ได้ ค่อย ๆ สอน ค่อย ๆ ฝึก เขาย่อมทำได้ในวันหนึ่ง และเราก็จะสบายขึ้นด้วย
               เมื่อทำงานติดต่อกันประมาณ 2 ชั่วโมง ควรพักสมอง โดยการเปลี่ยนอิริยาบถบ้าง และควรพยายามทำงานให้เสร็จ ที่ที่ทำงาน ไม่จำเป็น
อย่าเอางานกลับไปทำที่บ้าน เพราะจะรบกวนเวลาสำหรับตัวเอง และครอบครัว
               ถ้ารู้สึกว่าเวลามีไม่พอ ควรหาเวลามาเพิ่ม เช่น ตื่นให้เช้าขึ้น หรือย้ายมาพักใกล้ที่ทำงาน เพื่อประหยัดเวลาในการเดินทาง เป็นต้น
               ลองสังเกตผู้ร่วมงานดูบ้างว่า แต่ละคนมีวิธีการบริหารเวลาอย่างไร ลองเรียนรู้ จากผู้ที่บริหารเวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพ แล้วนำมาปรับใช้ดูบ้าง อาจจะช่วยให้เราทำงาน ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และเครียดน้อยลงก็ได้
การแก้ปัญหาอย่างถูกวิธี

               ในการทำงาน ย่อมมีปัญหาเกิดขึ้นเป็นธรรมดา แต่ถ้าแก้ปัญหาอย่างไม่เหมาะสม เช่น ใช้อารมณ์วู่วาม ตัดสินใจโดยไม่ไตร่ตรองให้รอบคอบ ไม่คิดถึงผลดีผลเสียที่จะตามมา ฯลฯ จะเป็นสาเหตุให้เกิดความเครียดได้ เพราะ
ปัญหาเดิม อาจจะยังไม่ได้รับการแก้ไข แถมยังสร้างปัญหาใหม่ขึ้นมาอีก ซึ่งบางครั้งอาจร้ายแรงกว่าปัญหาเดิมด้วยซ้ำไป ถ้าได้เรียนรู้วิธีการแก้ปัญหาที่เหมาะสม เมื่อแก้ปัญหาได้ ความเครียดก็จะหมดไปด้วย
               การแก้ปัญหาอย่างถูกวิธี ต้อง
เริ่มด้วยการหาสาเหตุของปัญหา ให้พบว่า ปัญหานั้นเกิดจากอะไร เช่น เกิดจากระบบงาน เกิดจากผู้ร่วมงาน หรือเกิดจากของตัวเราเอง ซึ่งส่วนใหญ่ ปัญหามักเกิดจากหลายสาเหตุประกอบกัน และเราเองก็อาจจะมีส่วนอยู่ด้วย ดังนั้น จึงควรพิจารณาด้วยความเป็นธรรม ไม่เข้าข้างตัวเอง ไม่โทษผู้อื่น ถ้าเราผิดต้องยอมรับ อย่างน้อยก็ยอมรับกับตัวของเราเอง จะได้คิดหาทางแก้ไขปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้น และการเริ่มต้นแก้ปัญหา ที่ตัวเราก่อน ย่อมง่ายกว่าการที่จะไปปรับเปลี่ยนผู้อื่น
               เมื่อทราบสาเหตุของปัญหาแล้ว ก็ให้ลงมือแก้ไขได้ เช่น เมื่อรู้ว่าทำงานผิดพลาดเพราะไม่ตรวจทาน ก็ต้องตรวจทาน ให้รอบคอบมากขึ้น ถ้าปัญหาเกิดจากความขัดแย้งกับผู้ร่วมงาน ก็ควรหาโอกาสพูดจาปรับความเข้าใจกัน ถ้างานมากเกินไปจนทำไม่ทัน ก็คงต้องหาคน หรือหาเครื่องมือที่ทันสมัย มาช่วยในการทำงาน ถ้าปัญหาอยู่ที่การขาดความรู้ความเข้าใจ ในเทคโนโลยีใหม่ ๆ ก็ต้องหาทางไปฝึกอบรม เพิ่มความรู้ให้มากขึ้น ทันสมัยขึ้น เป็นต้น
               ถ้าปัญหาร้ายแรง หรือคิดหาทางแก้ไขโดยลำพังไม่สำเร็จ 
ก็ไม่ควรอาย หรือรู้สึกเสียหน้าที่จะปรึกษาผู้อื่น เพราะการที่เราแก้ปัญหาไม่ได้ ไม่ได้หมายความว่าเราเป็นคนโง่ แต่อาจเป็นเพราะเราไม่มีความรู้ ไม่มีประสบการณ์ หรือไม่มีความถนัดในเรื่องนั้น ผู้ที่จะปรึกษาได้ มีทั้งผู้ร่วมงาน เจ้านาย นักวิชาการที่มีความรู้เฉพาะด้าน ตลอดจนผู้มีประสบการณ์ ในการแก้ปัญหาเรื่องนั้น ๆ มาก่อน อาจจะเป็นเพื่อน เป็นบุคคลในครอบครัว หรือแม้แต่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาก็ได้ การปรึกษาผู้ที่มีความรู้ มีประสบการณ์มากกว่า ถือเป็นการเรียนรู้อย่างหนึ่ง ซึ่งจะช่วยพัฒนาตัวเราให้ก้าวหน้ามากขึ้น
               นอกจากการปรึกษาผู้รู้แล้ว อาจแก้ปัญหาได้โดยการศึกษา ค้นคว้า หาความรู้จากหนังสือ ตำรา หรือสื่อต่างๆ เช่น วิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ นิตยสาร Internet เป็นต้น รวมทั้ง การศึกษาประวัติชีวิตของบุคคลที่มีชื่อเสียง ต่อสู้ชีวิตมามาก ก็อาจจะทำให้ได้ แนวทางในการแก้ปัญหาได้เช่นกัน
               การแก้ปัญหาบางอย่าง อาจต้องอาศัยเวลา และต้องใช้ความอดทนเป็นอย่างมาก ขอให้ใจเย็น ๆ มีความหวัง ปัญหาทุกปัญหา ย่อมมีทางแก้ไขเสมอ หมั่นให้กำลังใจตัวเอง 
คิดว่าปัญหาคือสิ่งท้าทาย ปัญหาเป็นแบบฝึกหัด ที่จะช่วยพัฒนาความสามารถของเรา ให้ดียิ่งขึ้น ถ้าเอาชนะปัญหาได้ เราจะเข้มแข็งมากขึ้น และเป็นคนเก่งมากขึ้น อย่าเครียดเพราะปัญหา เพราะคนทุกคน ต่างก็มีปัญหาด้วยกันทั้งนั้น สุดแต่ว่าจะมากน้อยกว่ากันเท่านั้นเอง
การปรับเปลี่ยนความคิด

               ความเครียด ส่วนหนึ่งมาจากความคิดของคนเรานั่นเอง คนที่มองโลกในแง่ร้าย คิดมาก วิตกกังวลสูง จะมีความเครียดมาก ถ้ารู้จักปรับเปลี่ยนความคิด มาคิดในแง่มุมใหม่ จะช่วยให้เครียดน้อยลง และมีความสุขใจมากขึ้น
               ก่อนอื่น ควรสังเกตตัวเองว่า เป็นคนคิดมากหรือไม่ หรือชอบคิดในลักษณะวนเวียนหาทางออกไม่ได้ ไม่รู้ว่าปัญหาคืออะไร รู้สึกสับสนไปหมด ถ้าเป็นแบบนี้ 
ควรหยุดคิดสักพัก แล้วลองหันมา ปรับเปลี่ยนความคิดเสียใหม่ ดังนี้
               ลองคิดในแง่
ยืดหยุ่นให้มากขึ้น อย่าเอาแต่เข้มงวด จับผิด หรือตัดสินผิดถูกตัวเอง หรือผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา รู้จักปล่อยวาง รู้จักเป็นฝ่ายยอมให้ผู้อื่นบ้าง รู้จักผ่อนหนักผ่อนเบา ลดทิฐิมานะ พบกันครึ่งทาง รู้จักให้อภัย ไม่ถือโทษโกรธเคือง หัดลืมเสียบ้าง จะทำให้รู้สึกดีขึ้น
               คิดอย่าง
ใช้เหตุผล อย่าคิดเอาเอง เดาเอาเอง แล้วกลัดกลุ้มอยู่กับความคิดของตัวเอง ลองคิดไตร่ตรองด้วยเหตุผล พยายามหาความรู้ หาข้อมูลที่เชื่อถือได้มาประกอบการคิด และการตัดสินใจเสมอ อย่าเชื่ออะไรง่าย ๆ ต้องพิสูจน์ให้แน่ใจเสียก่อน นอกจากจะช่วยลดความเครียดแล้ว ยังช่วยให้ไม่ต้องตกเป็นเหยื่อ ให้ใครหลอกง่ายๆ ด้วย
               ลอง
คิดหลายๆ แง่มุม คิดหลายๆ ด้าน คิดให้รอบคอบทั้งด้านที่ดีและไม่ดี เพราะไม่ว่าคน หรือไม่ว่าเหตุการณ์ใดก็ตาม ย่อมมีทั้งส่วนดีและไม่ดี ประกอบกันทั้งนั้น ในวิกฤติย่อมมีโอกาสแทรกอยู่ด้วยเสมอ อย่าคิดอะไรเพียงด้านเดียว และวิตกทุกข์ร้อน ไปกับความคิดนั้น ลองคิดในแง่มุมใหม่ดูบ้าง อาจจะเห็นทางออกที่ดีกว่าเดิมก็ได้
               ลองคิดดูว่า
ถ้าคนอื่น เจอปัญหาแบบเดียวกันนี้ เขาจะแก้ปัญหากันอย่างไร ลองศึกษาดู จากประสบการณ์ของคนอื่นๆ โดยการอ่านหนังสือ ดูโทรทัศน์ ฟังวิทยุ หรือพูดคุยปรึกษาหารือ กับผู้มีประสบการณ์ จะทำให้เรามีความรู้ ความคิดกว้างไกลกว่าเดิม และอาจได้แนวคิดใหม่ๆ มาแก้ไขปัญหาด้วย
               พยายาม
คิดในเรื่องดีๆ คิดถึงความสำเร็จ หรือประสบการณ์ที่เป็นสุขในชีวิต จะช่วยให้เกิดกำลังใจ ต่อสู้ปัญหามากขึ้น ถ้าเครียดแล้วยิ่งคิดถึงแต่เรื่องร้าย ๆ เรื่องความล้มเหลว ผิดหวัง ก็จะยิ่งเครียดกันไปใหญ่
               ดังนั้น เมื่อใดที่เริ่มมีความคิดที่ไม่ดี เช่น ท้อแท้ หมดกำลังใจ ผิดหวัง เศร้า ให้แทนที่ด้วยความคิดดี ๆ เช่น ความสุขในวันรับปริญญา ความสนุกสนานในการท่องเที่ยว ความภูมิใจ จากคำชมเชยของผู้บังคับบัญชา ความอิ่มเอิบใจ จากการได้ทำบุญบริจาคทาน คิดถึงความดีของคู่สมรส ความน่ารักของลูก ความมีน้ำใจของเพื่อน ฯลฯ โดยอาจจะจดบันทึกความทรงจำที่ดีเอาไว้ แล้วเอามาอ่านบ่อย ๆ หรือวางรูปภาพ แห่งความสุขไว้ใกล้ ๆ ตัว จะได้ช่วยให้มีขวัญ และกำลังใจในการทำงานมากขึ้น
               ลอง
คิดถึงคนอื่นบ้าง อย่าเอาแต่คิดหมกมุ่นอยู่กับตัวเอง สงสารตัวเอง น้อยเนื้อต่ำใจในโชควาสนาของตัวเอง หรือคอยแต่คิดเปรียบเทียบตัวเอง กับคนที่ดีกว่า ลองเปิดใจให้กว้าง รับรู้ความเป็นไปของคนอื่นๆ ในสังคมดูบ้าง โดยเฉพาะคนที่ด้อยโอกาสกว่า เช่น ยากจน ตกงาน พิการ เจ็บป่วยด้วยโรคร้ายแรงหรือเรื้อรัง เป็นต้น จะได้รู้ว่ายังมีคนอีกมากมาย ที่กำลังประสบความทุกข์ยากยิ่งกว่าเรา ปัญหาของเราช่างเล็กน้อยเหลือเกิน เมื่อเทียบกับของคนอื่น จะทำให้รู้สึกดีขึ้น เลิกสงสารตัวเอง และยิ่งถ้าเราสามารถช่วยเหลือพวกเขาเหล่านั้นได้ เราก็จะมีความสุขใจมากขึ้นด้วย
               การคิดเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่น แล้วรู้สึกว่าผู้อื่นดีกว่าตนนั้น อาจไม่จริงเสมอไป บางครั้งสิ่งใดที่มองไกล ๆ อาจเห็นเป็นอย่างหนึ่ง แต่เมื่อมองใกล้ ๆ แล้วจะเห็นเป็นอีกอย่างหนึ่ง ของบางอย่างอาจดูสวยงาม เมื่อมองไกล ๆ แต่เมื่อมองใกล้ ๆ อาจเห็นร่องรอย ความน่าเกลียดชัดขึ้นก็ได้ เช่นเดียวกับชีวิตคน บางคนที่เราแอบอิจฉาเขาอยู่ อาจเป็นคนที่เราจะต้องสงสารก็ได้ ถ้ามองให้ลึกซึ้งกว่าเดิม เช่น บางคนที่ดูมีฐานะร่ำรวย แต่อาจกำลังเป็นทุกข์ เพราะคู่ครองนอกใจ หรือมีสุขภาพที่ไม่ดี สามวันดีสี่วันไข้ก็ได้ จึงไม่ควรมองอะไรอย่างผิวเผิน แล้วทำให้ตัวเองเครียดโดยไม่จำเป็น
               ตั้งแต่นี้ต่อไป อย่าปล่อยให้ตนเองต้องเครียด เพราะความคิดอีกเลย เมื่อใดที่รู้สึกว่าคิดแล้วเครียด ให้รีบปรับเปลี่ยนมาคิด ในแนวทางใหม่ดังที่กล่าวข้างต้น ฝึกทำเช่นนี้เป็นประจำ จะช่วยให้ใจสบาย และลดความเครียดลงได้
การสร้างความเข้มแข็งทางจิตใจ

               ในการทำงาน และการดำเนินชีวิต ย่อมต้องเผชิญปัญหาและอุปสรรค ที่ทำให้เครียด อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การมีจิตใจที่เข้มแข็ง จะช่วยให้สามารถต่อสู้กับความเครียดได้ อย่างมีประสิทธิภาพ แม้บางครั้งร่างกายจะเจ็บป่วย อ่อนแอ แต่ถ้าจิตใจเข้มแข็ง ก็จะสามารถอดทน และมีความมานะพยายาม ที่จะฝ่าฟันเอาชนะปัญหาอุปสรรค ต่างๆ ไปได้ เพราะจิตใจมีอำนาจเหนือร่างกาย ดังคำกล่าวที่ว่า 
"จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว" นั่นเอง
               การเสริมสร้างความเข้มแข็งทางจิตใจ ทำได้โดยพิจารณาว่า ตัวเองมีความดี มีความเก่ง มีความสามารถในด้านใด แล้วจงภาคภูมิใจกับตัวเองให้มาก และควรหมั่นพัฒนาตัวเอง ให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ อย่าหยุดนิ่งอยู่กับที่ เพื่อให้ตัวเองเจริญก้าวหน้าต่อไป 
ความรู้สึกที่ดีต่อตัวเอง จะช่วยให้จิตใจเข้มแข็งมั่นคง เชื่อมั่นในตัวเอง ไม่หวั่นไหวง่าย
               เมื่อรู้ข้อดีของตัวเองแล้ว 
ต้องรู้ข้อเสียด้วย รู้ว่าตัวเองยังมีอะไรที่ไม่ดี เช่น เป็นคนใจน้อย คิดมาก โกรธง่าย ยิ้มยาก เกียจคร้าน ชอบผัดวันประกันพรุ่ง ฯลฯ เพื่อที่จะได้แก้ไขปรับปรุงให้ดีขึ้น ซึ่งทำได้โดยการ หมั่นบอกกับตัวเอง ให้แก้ไขในเรื่องนั้นบ่อยๆ ทุกวันๆ ละหลายๆ ครั้ง จะเรียกว่าสะกดจิตตัวเองก็ได้
               เวลาที่เหมาะจะสะกดจิตตนเอง โดยธรรมชาติมีอยู่ 2 ช่วง คือ ก่อนหลับและหลังตื่นนอนใหม่ๆ ประมาณ 3-4 นาที นอกจากนี้ เรายังสามารถสะกดจิตตนเองได้ดี หลังการทำสมาธิด้วย จึงควรใช้เวลาดังกล่าว บอกย้ำกับตัวเอง ในเรื่องที่ต้องการปรับปรุงให้ดีขึ้น เช่น "ฉันต้องใจเย็น" "ฉันต้องตื่นตีห้า" "ฉันต้องกล้าพูดในที่ประชุม" "ฉันต้องอดทน" "ฉันต้องยิ้มบ่อยๆ" เป็นต้น โดยท่องข้อความนั้นซ้ำๆ สัก 4-5 ครั้ง บ่อยๆ ทำอย่างนี้ทุกวัน เพียงไม่กี่สัปดาห์ ก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงตามที่ตั้งใจไว้

โอ้ยๆๆหิวค่ะหิว หาไรกินคลายเครียดกันดีกว่าค่ะ

อันดับแรกเลย ก็คือ นม ค่ะ
เพราะ นม มีทั้งสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามินบี 2 และ บี 12 หากเราเริ่มมื้อเช้าด้วยซีเรียลและนม 1 ถ้วย จะช่วยให้สดใสไปได้ทั้งวันเลยล่ะค่ะ
ผลไม้ ย่อมดีที่สุด
แต่ต้องเลือกที่เป็นผลไม้ประเภทมีวิตามินซีสูง เช่น ส้ม ฝรั่ง เพราะวิตามินซีช่วยต้านอนุมูลอิสระนอกจากจะต้านความเครียดแล้ว ยังช่วยต้านมะเร็งด้วย ที่สำคัญไม่อ้วนค่
อันดับถัดมา หน่อไม้ฝรั่ง
เพราะใน หน่อไม้ฝรั่ง มีกรดโฟลิคสูงมาก เวลาเครียด ร่างกายของเราจะผลิตฮอร์โมนที่ส่งผลกับอารมณ์ออกมา แต่หากเรากินผักที่มีกรดโฟลิคสูง ๆ เข้าไป มันจะช่วยให้อารมณ์ของเรามั่นคงขึ้นได้ค่ะ 
ต่อมา อัลมอนด์ ค่ะ
จริง ๆ แล้ว แค่ได้เคียวอะไรกรอบ ๆ ก็ช่วยคลายเครียดได้แล้วนะคะ แต่ในอัลมอนด์มีวิตามินบี 2 วิตามินอี แมกนีเซียม สังกะสี นอกจากช่วยลดอาการเครียดแล้ว ยังลดความเสี่ยงโรคหัวใจได้ด้วยน๊า - - - 
สำหรับสาว-สาวที่ชอบผลไม้หวานอมเปรี้ยว 
แนะนำ " บลูเบอรี่ " ค่ะ

เพราะ บลูเบอรี่ เป็นผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระเยอะมาก รวมทั้งยังมีไฟเบอร์ และวิตามินซีสูง ว่ากันว่าบลูเบอรี่เป็นผลไม้ที่ไว้ทานแก้ปวดหัวได้ดีทีเดียวค่ะ 
สุดท้าย ท้ายสุดที่นำมาแนะนำคือ ทูน่า ค่ะ
ทูน่า เหมาะสำหรับสาวที่กลัวอ้วนด้วยนะคะ และ ใน ทูน่า ก็มีวิตามินบี 6 และบี 12 ที่ช่วยลดความเครียดได้ด้วย ถ้านึกไม่ออกว่าจะใช้ทูน่าทำอะไร ก็ลองเมนูง่าย-ง่าย อย่าง แซนวิชทูน่า ได้เลยค่ะ

ช่วงนี้เจ้าของบล็อก ถูกความเครียดกัดกินค่ะมาหาวิธีรับมือกับความเครียดกันดีกว่า

Image
ความเครียด
วิธีจัดการกับความเครียด

Image
การจะจัดการกับความเครียดท่านต้องหาว่าความเครียดเกิดจากสาเหตุใดและร่างกายเราตอบสนองต่อความเครียดนั้นอย่างไร ขั้นตอนต่อมาต้องเรียนรู้วิธีการจัดการเกี่ยวกับความเครียดซึ่งมีวิธีดังนี้
  1. ค้นหาปัญหาที่ทำให้เกิดความเครียด เป็นข้อที่สำคัญที่สุดหากไม่ทราบสาเหตุก็ไม่สามารถป้องกันได้ บางท่านอาจจะไม่ทราบว่าเครียดจากอะไร ท่านผู้อ่านลองสำรวจตัวเองสิว่าชีวิตประจำวันของท่านมีอะไรบ้างที่ท่านเบื่อ เช่นการพูดคุยกับภรรยา การอาบน้ำลูก รถติด งานเร่ง งานน่าเบื่อ งานมาก บทบาทไม่ชัดเจนฯลฯ ท่านลองสำรวจอาการของท่านเมื่อพบสิ่งที่ไม่ชอบหรือน่าเบื่อ เช่นโกรธ เบื่อ ท้อแท้ ปวดศีรษะ เหล่านี้คือเหตุที่ให้เกิดความเครียด ปัจจัยใดที่ทำให้ท่าเครียดที่สุด ภาวะใดที่ท่านกลัวมาก ท่านอาจจะจดลงในสมุดบันทึกเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดความเครียด อาการที่แสดงออก หลังจากที่ทราบสาเหตุแล้วก็ลองแก้ไข หากบางสิ่งสามารถหลีกเลี่ยงได้ก็ให้หลีกเลี่ยงเช่นบางท่านไม่ชอบการเมืองก็ไม่ต้องดูข่าวหรือพูดคุยเกี่ยวกับการเมือง
  2. การป้องกัน
  3. แก้ไข
  4. ยอมรับความจริง
  5. หลีกเลี่ยง
  6. การปรับเปลี่ยน
  7. เรียนรู้วิธีผ่อนคลาย
  8. มีความเชื่อมั่นในตัวเอง
  9. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
  10. รับประทานอาหารที่มีคุณภาพ
  11. ผักผ่อนอย่างเพียงพอ
หลังจากทราบสาเหตุแล้วการป้องกันความเครียดจะเป็นวิธีที่ไม่ให้เกิดความเครียดซึ่งมีวิธีการต่างๆดังนี้ การเตรียมตัวเพื่อรับความเครียดสามารถทำได้ดังนี้
  1. การวางแผน เมื่อเกิดปัญหาหรือความเครียดพยายามตั้งสติและใช้ปัญญาหาทางแก้ไข
  • เมื่อมีปัญหาพยายามหาทางเลือกหลายๆทาง และเลือกทางแก้ที่ดีที่สุด
  • ขณะทำงานก็วางแผนอนาคตไปด้วย ตั้งเป้าหมายที่เป็นไปได้และท้าทายการตั้งเป้าหมายเกินความสามารถเล็กน้อยจะเป็นการท้าทาย หากทำสำเร็จก็จะเกิดความภูมิใจความมั่นใจในตัวเองก็จะตามมา
  • ตั้งเป้าหมายที่สมเหตุสมผลซึ่งจะทำให้เกิดแรงจูงใจที่จะกระทำ หากตั้งเป้าเกินความจริงจะทำให้เกิดความเครียด หากต้องการประสบความสำเร็จต้องพัฒนาความสามารถเพิ่มแต่ถ้าไม่พยายามก็ไม่ประสบผลสำเร็จความเครียดก็จะเกิดตามมาและในที่สุดก็เลิกไปเอง
  • จัดลำดับความสำคัญ และความเร่งด่วนของงาน งานที่สำคัญอาจจะไม่ใช่งานที่เร่งด่วนก็ได้ ให้ทำงานที่เร่งด่วนก่อน และก็ไปงานที่สำคัญ ขณะทำงานก็อย่ากังวลงานที่ยังไม่ได้ทำ ให้ทำงานที่ยากที่สุดก่อนงานอื่น
  • กระจายงานให้แก่คนที่เหมาะสมโดยแบ่งงานเป็นส่วนแล้วกระจายงานออกไป
  1. การสื่อสาร การสื่อสารจะช่วยลดความขัดแย้ง
  • ใช้เหตุผลในการสื่อสาร การใช้เหตุผลจะทำให้เพื่อนร่วมงานได้เสนอปัญหาและแนวทางแก้ไข คนส่วนให้ต้องการแก้ปัญหาเพื่อสิ่งที่ดีขึ้น การใช้เหตุจะทำให้เพื่อนร่วมงานยอมรับและให้ความร่วมมือ ห้ามใช้ความก้าวร้าว
  • พูดความจริง การพูดความจริงจะมีความเครียดน้อยกว่าการโกหก
  • แก้ไขความขัดแย้ง เมื่อเกิดความขัดแย้งให้จับเข่าแก้ปัญหา และเมื่อได้ข้อสรุปจงลืมว่าปัญหาเกิดจากใคร และอย่าเครียดแค้น
  • ให้เป็นนักฟังที่ดี ไม่มีใครที่สามารถเรียนรู้ขณะที่ตัวเองกำลังพูด การเป็นผู้ฟังที่ดีจะได้แนวความคิดใหม่ การเป็นผู้ฟังที่ดีมิใช่คุณจะต้องเชื่อทุกอย่างเป็นเพียงคุณมีข้อมูลเพิ่มเติมซึ่งช่วยในการตัดสินใจ
  1. การเปลี่ยนมุมมองคนบางคนมองวิกฤติเป็นโอกาส น้ำครึ่งแก้วบางคนมองเหลืออีกครึ่งหนึ่ง
  2. การผักผ่อน การนอนพักผ่อนอย่างพอเพียงวันละ 7-8 ชั่วโมงจะทำให้ลดความวิตกกังวลได้
  3. เมื่อเกิดปัญหาให้ควบคุมอารมณ์ให้สงบ ให้หยุดงานที่ทำอยู่ หายใจเข้าลึกๆ หรือหลีกหนีไปเดิน 15 นาที
  4. ให้นึกถึงผลเสียที่จะเกิด ผลเสียหายอย่างแรงที่อาจจะเกิดขึ้น ขณะเดียวกันก็นึกถึงโอกาสที่จะไม่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว
แม้ว่าเราไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงความเครียด แต่เราสามารถลดโรคที่เกิดจากความเครียดโดย
  1. ปรึกษากับเพื่อน ครอบครัว หรือเพื่อนร่วมงานจะช่วยท่านมองปัญหาในแง่มุมอื่นๆ ท่านจำเป็นต้องบอกเพื่อนร่วมงานว่าบางสิ่งไม่สามารถทำได้ ต้องรู้จักปฏิเสธ ท่านอาจจะต้องลดงานพิเศษบางอย่างขณะเกิดความเครียด ท่านต้องเคารพตัวเองไม่เอาเปรียบตัวเอง ไม่ทำงานเกินความสามารถตัวเอง ไม่ทำงานจนไม่มีเวลาพักผ่อน การทำงานต้องมีขอบเขตหากมิเช่นนั้นท่านอาจจะเป็นผู้ปกครองที่ไม่ดี เป็นเพื่อนร่วมงานที่ไม่ดี ต้องสามารถควบคุมอารมณ์โกรธได้ดี เมื่อโกรธก็หาสิ่งที่ชอบทำเช่นการฟังเพลง การเดิน
  2. อย่าซึมเศร้า เมื่อท่านมีโรคประจำตัวหรือประสบกับความผิดหวัง ท่านอาจจะหมดกำลังใจ ซึมเศร้า ชีวิตนี้ไม่มีความหวังอีกแล้ว อาการซึมเศร้าจะทำให้ท่านประสบกับความทุกข์ยากและทำให้อาการเจ็บปวดเพิ่มขึ้น ท่านอาจจะคิดว่า "ทำไมต้องเป็นเรา" "ทำไมเราถึงต้องทำสิ่งนั้น" "ทำไมเราทำสิ่งนั้นไม่ได้"คนปกติทุกคนจะคิดเหมือนกัน ท่านต้องทำใจและพยายามแก้ไข
  3. ทำชีวิตให้สบายๆอย่าทำชีวิตให้วุ่นวาย ทำตัวสบายๆงานที่ไม่สำคัญก็ไม่ต้องทำเลือกงานที่จำเป็นไม่ว่าจะเป็นงานบ้านหรืองานประจำทำให้เสร็จแล้วจึงเลือกงานที่น่าเบื่อทำต่อ
  4. เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างเกิดขึ้น ให้พยายามทำในสิ่งที่ตัวเองชอบและมีความสุข
  5. บริหารเวลาให้เหมาะสม จัดลำดับความสำคัญของงานให้ทำงานที่หนักเมื่อรู้สึกสบายหรือทำในตอนเช้า จัดเวลาสำหรับพักด้วย
  6. ให้ทำงานที่ละอย่างจนสำเร็จโดยการตั้งเป้าหมายในแต่ละวัน การตั้งเป้าหมายไม่จำเป็นต้องเป็นงานอาจจะเป็นงานอดิเรกก็ได้เมื่อได้กระทำสำเร็จจะเกิดความภูมิใจ
  7. เมื่อไม่สามารถแก้ไขปัญหาให้ปรึกษาแพทย์
  • ยอมรับความจริงว่าท่านสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้แต่ท่านไม่สามารถเปลี่ยนแปลงคนอื่น เพราะหากท่านคิดเปลี่ยนแปลงคนอื่นแล้วไม่สำเร็จท่านก็จะเกิดความเครียด
  • ยอมรับความจริงว่าคนทุกคนไม่มีใครที่สมบูรณ์แบบต้องมีข้อบกพร่องยอมรับกับข้อบกพร่องความเครียดจะน้อยลง หลายคนคาดหวังว่าคนใช้จะสามารถทำงานได้ดีเท่ากับที่ตัวเองทำ เมื่อคนใช้ทำไม่ได้ก็เกิดความเครียด
  • สร้างอารมณ์ขันให้กับตัวเองโดยเฉพาะเมื่อเวลาเกิดความเครียด ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับความเครียดแนะนำให้หัวเราะเมื่อมีความเครียด โดยจัดเวลาสำหรับงานบันเทิง คุยเรื่องตลกกับเพื่อนหรือดูตลก การหัวเราะจะช่วยลดความตึงเครียดได้เป็นอย่างดี อย่าปล่อยให้ตัวท่านตึงเครียดมืดมน มองโลกในแง่ดี
  • ให้นึกว่าท่านสามารถเรียนรู้บางสิ่งจากเหตุการณ์ทุกอย่าง
  • หลีกเลี่ยงความเครียดเล็กน้อย เช่นรถติดก็ออกจากบ้านให้เช้าขึ้น หลีกเลี่ยงไปใช้เส้นทางอื่น
  • หลีกเลี่ยงหรืออยู่ห่างๆบุคคลที่ทำให้ท่านเครียด เช่นแฟนที่ขี้บ่น เจ้านายที่จุกจิก
  • หลีกเลี่ยงการรับผิดชอบงานที่มากเกินไป
  • เมื่อมีความเครียดให้หยุดงานสักพักและหลีกหนีจากสถานการณ์ที่ทำให้คุณเครียด
  • หลีกเลี่ยงการถกเถียงประเด็นที่หลีกเลี่ยงไม่ได้หรือประเด็นที่หาข้อสรุปไม่ได้

วันอังคารที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2553

จาก HIV สู่ ความดันกันนะค่ะ อย่างเราๆนี้คงเป็นดันทุรังมากกว่าง่าม๊ะ55

โรคความดันโลหิตสูง
โรคความดันโลหิตสูง


รู้จักเลือก...รู้จักเลี่ยง ไม่เสี่ยงเป็น"ความดันโลหิตสูง"(เดลินิวส์)
           ชีวิตของผู้คนในยุคสมัยนี้ ต้องเผชิญกับปัญหาหลากหลายที่ถาโถมเข้ามาในชีวิต สร้างความบั่นทอนร่างกายและจิตใจให้ถดถอยลง ส่งผลให้ ความดันโลหิต ในร่างกายสูงตามไปด้วย

           โรคความดันโลหิตสูง นับเป็นหนึ่งในปัญหาสาธารณสุขสำคัญที่กำลังคุกคามโลก โดยในปัจจุบันมีประชากรหลายร้อยล้านคนทั่วโลกเป็น โรคความดันโลหิตสูง และมีการคาดการณ์ว่าในปี พ.ศ. 2568 ผู้มีภาวะความดันโลหิตสูงจะเพิ่มขึ้นเป็น 1.5 พันล้านคน 
           สำหรับประเทศไทย จากข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุขคาดว่า จะมีผู้มีภาวะความดันโลหิตสูง หรือเป็น โรคความดันโลหิตสูง ประมาณ 10 ล้านคน ซึ่ง 70% ของคนกลุ่มนี้ไม่ทราบว่าตนเองมีภาวะดังกล่าว ทำให้ไม่ได้รับการรักษาหรือการปฏิบัติตนอย่างถูกต้องเหมาะสม อันจะนำไปสู่การเกิดโรคแทรกซ้อนมากมาย อาทิ อัมพฤกษ์ อัมพาต โรคหลอดเลือดสมองตีบ โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ ซึ่งอาจร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ด้วย

           นพ.ธวัชชัย ภาสุรกุล แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเบาหวาน ไทรอยด์และต่อมไร้ท่อ ให้ความรู้ว่า ความดันโลหิต หมายถึง แรงดันเลือดที่เกิดจากการ ที่หัวใจสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงทั่วร่างกาย ซึ่งหัวใจคนเราจะเต้น 60-80 ครั้ง ความดันก็จะเพิ่มขณะที่หัวใจบีบตัวและลดลงขณะที่หัวใจคลายตัว ความดันโลหิตของคนเราไม่เท่ากันตลอดเวลาขึ้นอยู่กับท่าของผู้ถูกวัดด้วย โดยท่านอนความดันโลหิตมักจะสูงกว่าท่ายืน นอกจากนั้นแล้ว ยังขึ้นกับสิ่งกระตุ้นต่างๆ เช่น การออกกำลังกาย การทานอาหาร การนอนหลับ กิจกรรมที่ทำอยู่ รวมทั้งสภาพจิตใจด้วย

           โดยปกติคนจะมีระดับความดันโลหิต 120/80-139/89 มิลลิเมตรปรอท หากมีค่าความดันมากกว่านี้จัดว่าเป็นผู้ที่มีภาวะความดันโลหิตสูง หรือเป็น โรคความดันโลหิตสูง ส่วนสาเหตุของ โรคความดันโลหิตสูง 90% ของผู้ที่มีภาวะดังกล่าวไม่ทราบสาเหตุที่ชัดเจน พบมากในกลุ่มคนอายุ 40 ปีขึ้นไป นอกจากนั้น เกิดจากอาการป่วยบางอย่าง เช่น อาการป่วยเกี่ยวกับสมอง ต่อมหมวกไต และต่อมไร้ท่อบางประเภท

           "ผู้มีภาวะความดันโลหิตสูงส่วนใหญ่มักจะไม่ปรากฏอาการใดๆ จึงไม่ได้เข้ารับการรักษาและไม่มีการควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ซึ่งในรายที่มีภาวะความดันโลหิตสูงมากๆ อาจนำไปสู่การเสียชีวิตแบบเฉียบพลันได้ ดังนั้นความดันโลหิตสูงจึงเปรียบเสมือนเพชฌฆาตเงียบที่คร่าชีวิตคนจำนวนมากไปแบบไม่รู้ตัว"

           โรคความดันโลหิตสูง เป็นปัจจัยเสี่ยงอันดับหนึ่งของโรคอัมพาตและยังเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคหัวใจ โรคไต โรคหลอดเลือดแดงแข็ง โดยผู้ที่ไม่ได้รักษา โรคความดันโลหิตสูง จะมีโอกาสเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบเพิ่มขึ้น 3 เท่า มีโอกาสเกิดโรคหัวใจวายเพิ่มขึ้น 6 เท่า และมีโอกาสเกิดโรคอัมพาตเพิ่มขึ้น 7 เท่า

           "ภาวะความดันโลหิตสูงจะค่อยๆ ทำให้หลอดเลือดภายในร่างกายค่อยๆ เสื่อมไป โดยเฉพาะ 3 อวัยวะสำคัญ คือ หลอดเลือดสมอง หลอดเลือดหัวใจและกล้ามเนื้อหัวใจ รวมทั้งไต ซึ่งเมื่อมีการตีบหรือแตกของหลอดเลือดในอวัยวะสำคัญเหล่านี้จะทำให้เสียชีวิตได้แบบเฉียบพลัน หรือทำให้เป็นอัมพาตได้ ดังนั้นแม้ในคนปกติ หรือผู้ที่มีอายุ 35 ปีขึ้นไป ควรตรวจวัดความดันโลหิตสูงอยู่ อย่างสม่ำเสมอ เนื่องจากหากได้รับการรักษาหรือปรับการปฏิบัติตัวแต่เนิ่นๆ จะทำให้หลอดเลือดไม่ผิดปกติเร็วเกินไปนัก สำหรับผู้ที่มีความดันโลหิตสูงอยู่แล้วนั้น หากมิได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนขึ้นได้" 
           ปัจจัยเสี่ยงต่อ โรคความดันโลหิตสูง นพ.ธวัชชัย กล่าวว่า ได้แก่ กรรมพันธุ์และสิ่งแวดล้อม โดยมีสาเหตุจากกรรมพันธุ์ ได้ประมาณ 30- 40% รวมทั้งสิ่งแวดล้อมที่เคร่งเครียด รีบเร่งมีผลต่อการก่อ โรคความดันโลหิตสูง ได้เร็วขึ้น ด้าน อายุ มักพบในอายุตั้งแต่ 40-50 ปี ขึ้นไป เพศซึ่งมักพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังวัยหมดประจำเดือน รูปร่างพบมากในผู้ที่มีภาวะน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วนมากกว่าคนผอม ส่วนเชื้อชาติ พบมากที่สุดในคนอเมริกันเชื้อสายคนดำแอฟริกัน รวมไปถึงผู้ที่ทานเกลือสูงหรือชอบกินเค็มมีโอกาสเกิด โรคความดันโลหิตสูง ได้

           สำหรับการรักษา โรคความดันโลหิตสูง มี 2 ทางเลือกด้วยกัน คือ การใช้ยา และไม่ใช้ยา ในผู้ป่วย โรคความดันโลหิตสูง ที่เริ่มรู้ตัวว่าเป็น แพทย์จะสามารถรักษา โรคความดันโลหิตสูง  ได้โดยป้องกันไม่ให้เกิดโรคแทรกซ้อน แต่สำหรับผู้ที่มีโรคแทรกซ้อนร่วมด้วย แพทย์จะต้องให้ยาและพยายามควบคุมระดับความดันให้อยู่ในเกณฑ์ที่ปกติ

           ปัจจุบันด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าขึ้น ทำให้ผู้ป่วยสามารถตรวจวัดความดันโลหิตได้ด้วยตัวเองแบบง่ายๆ ได้ที่บ้าน ซึ่งจะช่วยให้ผู้ป่วย โรคความดันโลหิตสูง ทราบระดับความดันโลหิตของตนเองตลอดเวลา หากมีระดับสูงผิดปกติก็สามารถรีบไปพบแพทย์หรือปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้เหมาะสม อันจะนำไปสู่การควบคุมระดับความดันโลหิตที่ดีขึ้น ตลอดจนลดปัญหาจากการเกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆ ได้ ความดันโลหิตสูงเป็นเพชฌฆาตเงียบ เป็นแล้วไม่หายขาด ต้องดูแลรักษาตลอดชีวิต เพราะฉะนั้นจึงคุ้มที่จะป้องกันและรักษาก่อนที่จะสายเกินแก้

           ทุกคนสามารถป้องกันการเกิดภาวะ ความดันโลหิตสูง ได้ โดยการเลือกทานอาหารที่เหมาะสม หลีกเลี่ยง อาหารเค็มจัด เพราะเกลือทำให้ความตึงตัวของผนังหลอดโลหิตแดงเพิ่มขึ้น รวมทั้งอาหารกลุ่มไขมัน ควรให้อยู่ในระดับกลางค่อนข้างต่ำ ควรหลีกเลี่ยงไขมันจากสัตว์และจำพวกกะทิ อีกทั้ง อาหารกลุ่มแป้งและน้ำตาลขัดขาวทุกชนิด เพราะจะทำให้น้ำหนักตัวและระดับไขมันในเลือดเพิ่มขึ้น 
           นอกจากนั้นควรหลีกเลี่ยง การสูบบุหรี่ และ แอลกอฮอล์ หรือดื่มได้ในปริมาณที่พอเหมาะ (วิสกี้ 2 ออนซ์หรือ ไวน์ 8 ออนซ์) รวมทั้งพยายามควบคุมน้ำหนักตัว เพราะความอ้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงในการเกิด โรคความดันโลหิตสูง  และออกกำลังกายให้พอควรและสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ ไม่เครียด และมีการตรวจวัดความดันโลหิตอย่างสม่ำเสมอ

           "อยากให้ทุกคนตระหนักและเข้าใจถึงความสำคัญของ โรคความดันโลหิตสูง ถ้าสามารถรักษาควบคุมให้ความดันโลหิตอยู่ในเกณฑ์ที่ปกติ ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม อย่าละเลย อย่าประมาท ก็จะมีโอกาสลดการเกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆ ต่อหัวใจ สมอง และไตได้ แล้วคุณจะห่างไกลจาก โรคความดันโลหิตสูง " นพ. ธวัชชัย กล่าวทิ้งท้าย